-/> ถ้ำปราสาทนาฬาคิริง” ถ้ำใหม่เมืองกระบี่

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ถ้ำปราสาทนาฬาคิริง” ถ้ำใหม่เมืองกระบี่  (อ่าน 1977 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 661
กระทู้: 193
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« เมื่อ: 18 มิถุนายน 2556, 08:30:32 PM »

Permalink: ถ้ำปราสาทนาฬาคิริง” ถ้ำใหม่เมืองกระบี่




หินงอกที่จินตนาการรูปร่างว่าเป็นเพนียด


              ธรรมชาติเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งสวยงามขึ้นมาประดับโลกไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหาดทรายขาวใสกับน้ำทะเลสีฟ้าสด น้ำตกสูงอลังการ หน้าผาสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ดูแล้วทำให้มนุษย์เรารู้สึกว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน
       
       ในบ้านเราก็มีสิ่งสวยงามด้วยฝีมือของธรรมชาติอยู่มากมายที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว อย่างในวันนี้ที่ “ตะลอนเที่ยว” ได้มาที่จังหวัดกระบี่ มาชมความงดงามจากการสรรค์สร้างของธรรมชาติอิกชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่ทะเลอย่างที่หลายๆคนมักนึกถึง แต่กลับเป็น “ถ้ำ” เพราะสภาพพื้นที่ที่เป็นภูเขาหินปูน จึงก่อให้เกิดภูมิประเทศเป็นหน้าผาสูงและโพรงถ้ำหลายแห่ง และภายในถ้ำก็มีหินงอกหินย้อยตระการตา




หินงอกหินย้อยตระการตาในถ้ำปราสาทนาฬาคิริง


       แต่ถ้ำที่มีความงดงามไม่แพ้ถ้ำไหนๆ ในจังหวัดกระบี่ หรือแม้แต่ถ้ำอื่นๆทั่วประเทศไทย ก็ต้องยกให้กับ “ถ้ำปราสาทนาฬาคิริง” ที่ตั้งอยู่ในบริเวณวัดถ้ำปราสาทนาฬาคิริง อำเภอปลายพระยา ห่างจากตัวเมืองกระบี่ไปประมาณ 70 กิโลเมตร
       
       ชื่อ “นาฬาคิริง” อาจฟังดูไม่คุ้นหู แต่สำหรับผู้ที่สวดมนต์บทพาหุงเป็นประจำอาจจะทราบความหมาย เพราะในบทหนึ่งของบทสวดพาหุงมีอยู่ว่า “นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง...ฯลฯ” ซึ่ง แปลความออกมาเป็นภาษาไทยได้ว่า “พญาช้างนาฬาคิรีตกมันหนักดุร้ายเหลือ แล่นเข้ามาราวกับไฟไหม้ป่า ดุจจักราวุธ เหมือนฟ้าผ่า พระจอมมุนีทรงชนะด้วยน้ำพระเมตตา ด้วยพระเดชนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า



หินที่มีลักษณะคล้ายช้างเผือกทรงเครื่อง ที่มาของชื่อถ้ำ

       อธิบายให้ละเอียดลงไปอีกนิดก็คือ ช้างนาฬาคิรีเชือกนี้เป็นช้างที่พระเทวทัตสั่งให้มาทำร้ายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ก็ได้ใช้ฤทธานุภาพแห่งความเมตตาในการหยุดช้างนาฬาคิรีให้สงบ ลงได้
       
       เรื่องราวความเป็นมาเหล่านี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้ฟังมาจาก “หลวงพ่อขจิต กมโล” เจ้าอาวาสวัดถ้ำปราสาทนาฬาคิริง และยังเป็นผู้ค้นพบถ้ำ เป็นผู้นำนักท่องเที่ยวเข้าชมถ้ำ และยังเป็นผู้ดูแลถ้ำให้คงสภาพเป็นธรรมชาติอันงดงามไม่ถูกทำลายไปอีกด้วย




หินย้อยดูบอบบาง แต่ยังคงมีการเจริญเติบโตเรื่อยๆ

       นอกจากชื่อของถ้ำจะมีที่มาน่าสนใจแล้ว เรื่องราวการค้นพบถ้ำก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน โดยเมื่อปี พ.ศ.2529 หลวงพ่อขจิตซึ่งโดยพื้นเพเป็นคนจังหวัดสงขลา แต่ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำวัว จังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น ได้นิมิตเห็นชายตัวดำรูปร่างสูงใหญ่ นุ่งผ้าขาวโจงกระเบนไม่ใส่เสื้อ สะพายย่ามมือถือเทียนมาชวนหลวงพ่อให้ไปดูถ้ำแห่งหนึ่ง ชายคนนั้นพูดอะไรมากมายหลายอย่าง พร้อมกับให้หลวงพ่อไปอยู่ในถ้ำนั้น ทีแรกหลวงพ่อปฏิเสธ แต่ชายคนนั้นก็พยายามชักจูงพร้อมอธิบายต่างๆนานา จนในที่สุดหลวงพ่อต้องยอมรับตามที่นิมิต ชายคนนั้นจึงพาหลวงพ่อออกจากถ้ำ
       
       หลังจากนั้นหลวงพ่อขจิตก็ได้สืบหาถ้ำตามที่นิมิตอยู่หลายแห่ง จนกระทั่งใน พ.ศ.2533 เมื่อหลวงพ่อได้รับนิมนต์มาเป็นเจ้าสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในอำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ และมีชาวบ้านมานิมนต์ไปในงานบุญเดือนสิบ หลวงพ่อจึงสอบถามกับชาวบ้านว่าในละแวกบ้านมีวัดมีถ้ำบ้างหรือไม่ เมื่อชาวบ้านบอกว่ามีถ้ำ แต่เป็นป่ารกทึบไม่มีใครกล้าเข้าไป หลวงพ่อจึงไปดูถ้ำดังกล่าว และพบว่าเป็นถ้ำที่เหมือนเคยพบมาก่อนตามนิมิต




ความงดงามของหินงอกหินย้อยที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น

       หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงได้สำรวจถ้ำ และได้ตั้งชื่อถ้ำแห่งนี้ว่า “ถ้ำปราสาทนาฬาคิริง” โดยถือเอานิมิตก้อนหินในถ้ำซึ่งเป็นรูปคล้ายหัวช้างเผือกทรงเครื่องขนาดใหญ่ และได้มีการพัฒนาพื้นที่บริเวณถ้ำ จัดทำทางทางเดิน ติดหลอดไฟให้ความสว่าง ต่อมาจึงเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวโดยหลวงพ่อขจิตเป็นคนนำชมเอง หรือบางครั้งก็ให้ลูกศิษย์เป็นผู้นำชม อีกทั้งไม่คิดค่าเข้าชม เพียงแต่ช่วยกันบริจาคตามศรัทธา
       
       วนอยู่รอบปากถ้ำกันนานแล้ว คราวนี้เราเข้าไปเยี่ยมชมด้านในถ้ำพร้อมกับหลวงพ่อขจิต และ “ตะลอนเที่ยว” กันเลยดีกว่า
       
       ก่อนเข้าถ้ำหลวงพ่อชี้ให้ดูชะง่อนหินหน้าปากถ้ำที่ดูแล้วมีลักษณะ คล้ายหัวช้าง อีกทั้งยังได้เล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงภายในโพรงถ้ำว่ามีลักษณะเป็นรูปตัวยู (U) เดินเข้าทางหนึ่งเดินออกอีกทางหนึ่ง และมีอากาศถ่ายเท ทำให้ภายในถ้ำเย็นสบายไม่เหม็นอับ ส่วนความงดงามของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำนั้นหลวงพ่อให้เข้าไปชมกันด้วยตาของ ตัวเอง แต่รับรองว่าต้องตะลึงเลยทีเดียว





บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: