-/> ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดอาชีพบทความ นานาสาระ (ผู้ดูแล: พงศธร)ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว  (อ่าน 3812 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 661
กระทู้: 193
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 04:08:18 PM »

Permalink: ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว



                            ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว สมุนไพรที่น่าสนใจ

                       เมื่อ เอ่ยชื่อพรรณไม้ที่ชื่อว่า "สาวร้อยผัว" ขึ้นมา หลายคนอาจจะงุนงงสงสัยว่า ต้นไม้ชื่อนี้มีด้วยหรือ หรือไม่ก็อาจจะสงสัยต่อไปอีกว่า คนที่ตั้งชื่อ "คุยโว" เกินไปหรือเปล่า สาวอะไรจะกล้าหาญชาญชัยมีผัวตั้ง 100 คน มันน่าจะ "เว่อร์" ไปหน่อยกระมัง?

                  อันที่จริงพืชชนิดที่ว่านี้มีหลายชื่อ ด้วยกัน ได้แก่ ชื่อรากสามสิบ สามร้อยราก ผักชีช้าง ผักหนาม หรือหากเป็นทางภาคเหนือก็จะเรียกว่า จ๋วงเครือ ส่วนที่เรียกเพิ่มเติมว่า "สาวร้อยผัว" นั้น เข้าใจว่าอาจจะตั้งขึ้นทีหลังชื่อ สามร้อยราก เมื่อได้พิสูจน์สรรพคุณทางยาว่า ทำให้สตรีมีสุขภาพสมบูรณ์ดี ประกอบกับเป็นพืชที่มีรากจำนวนมาก ก็เลยเรียกเสียใหม่ว่า สามร้อยผัว สาวร้อยผัวเสียเลย...ก็นับว่าสะใจดีไปอย่าง คงจะต้องการประชดสมุนไพรของคุณผู้ชายที่ตั้งชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่งว่า "โด่ไม่รู้ล้ม" นั่นเอง

                   เอาละ! ไม่ว่าจะมีชื่อว่าอย่างไร ต้นไม้ชนิดนี้ก็เป็นต้นไม้ที่น่าสนใจ น่าทำความรู้จัก เพราะเป็นได้ทั้งผักและเป็นได้ทั้งยา ขอเชิญตามผู้เขียนมา

                       ในตำรา ต่างๆ เรียกชื่อทางวิทยาศาสตร์ของไม้ชนิดนี้ต่างกันไปบ้าง เช่น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ ท่านระบุไว้ชัดเจนว่า "รากสามสิบ น. ชื่อไม้เถาชนิด Asparagus racemosus Willd. ในวงศ์ Asparagaceae เถามีหนาม ใบลดรูปเป็นเกล็ด กิ่งเรียวรูปเข็ม รากอวบ ใช้ทำยาและแช่อิ่มได้ พายัพเรียก จ๋วงเครือ หรือ จั่นดิน."

                        นั่นก็หมายความว่า ไม้ชนิดนี้นับญาติกับพวกหน่อไม้ฝรั่งที่พวกเราคุ้นเคย ในชื่อว่า แอสพารากัส (Asparagus) นั่นเอง แต่ก็มีตำราอีกบางเล่มที่ระบุชื่อตรงกับข้างต้น แต่ระบุวงศ์ต่างออกไป เป็นวงศ์ LILIACEAE ซึ่งตัวของผู้เขียนเองค่อนข้างจะโน้มเอียงไปทางราชบัณฑิตยสถาน เหตุผลก็เพราะว่า ต้นของสาวร้อยผัวนี้คล้ายกับต้นของหน่อไม้ฝรั่งมากนั่นเอง (กรุณาดูรูปภาพประกอบ) ดังนั้น ต้นสาวร้อยผัว หรือรากสามสิบ น่าจะอยู่ในวงศ์ "แอสพารากาซิอี้" ตามที่ราชบัณฑิตย์ว่าไว้

                      สำหรับ พืชที่อยู่ในวงศ์ LILIACEAE ก็มีตัวอย่าง เช่น ว่านหางจระเข้ (Aloebarbadensis Mill.) และต้นดองดึง (Gloriosa superba Linn.) ซึ่งต้นดองดึงนั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฯ ระบุว่า อยู่ในวงศ์ COLCHICACEAE ที่ต่างจากตำราเล่มอื่นๆ ด้วย ก็ขอฝากนักวิทยาศาสตร์ด้านพฤกษศาสตร์ได้ช่วยกรุณาตรวจสอบกันต่อไปว่า ต้นดองดึง จัดอยู่ในวงศ์ใดแน่นอน ระหว่าง วงศ์ LILIACEAE กับ COLCHICACEAE

                     เอา ละ! มาถึง ณ บรรทัดนี้ เราก็ได้รู้จักกับชื่อและตระกูลของต้นสาวร้อยผัวพอสมควรแล้ว ต่อไปก็จะได้รู้จักรูปร่างหน้าตาและสรรพคุณในทางยากันบ้าง แล้วก็ปิดท้ายด้วยข้อมูลในด้านการผลิตและการตลาดพอหอมปากหอมคอสำหรับผู้ที่ สนใจ


                     สาวร้อยผัว จัดเป็นไม้เถาขนาดเล็ก มีรากเป็นกระจุกมากมาย (คล้ายรากของกระชาย) ต้นหรือเถาแรกออกจะโผล่แต่เถากลาง (เถาหลัก) ขึ้นไปในอากาศ ตามเถาจะมีหนามงุ้มลงเป็นระยะๆ (แต่ละข้อ) หลังจากนั้น ก็จะมีกิ่งแขนงโผล่ขึ้นมาจากเถาหลักดังกล่าวในแต่ละข้อ ส่วนใบก็จะออกรอบๆ กิ่งแขนง (ตามข้อ) ลักษณะของใบจะเป็นคล้ายๆ เข็มเล่มเล็กๆ เป็นใบเดี่ยวบ้าง เป็นกระจุกบ้าง บางกระจุกมีมากถึง 8-9 เส้น เมื่อใบออกเต็มที่จะมีสีเขียว เป็นพวงรอบกิ่งแขนง มองดูคล้ายพวงหางกระรอก ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะออกดอกสีขาวให้ชม (ราวกันยายน-ตุลาคม) ผลกลม มี 3 พู และมีเมล็ดอยู่ภายในพูนั้น ฉะนั้น จึงสามารถขยายพันธุ์ได้ ทั้งปลูกด้วยเมล็ดและใช้เหง้าหรือหน่อ โดยควรจะปลูกในช่วงต้นฝน ส่วนจะปลูกลงดิน ลงกระถาง หรือจะปลูกในถุงดำทรงสูง ใส่ดินมากๆ (เพราะต้องการรากในปริมาณมากๆ) ก็แล้วแต่ความต้องการและวัตถุประสงค์ หากต้องการปลูกเป็นเพียงไม้ประดับ ก็ใช้กระถางเพียงขนาดกลางก็เพียงพอแล้ว เพื่อให้ง่ายแก่การย้ายไปตั้งใกล้ต้นไม้อื่น

                    เมื่อมีอายุครบขวบตาม ฤดูกาลแล้ว ต้นสาวร้อยผัวก็จะเฉาและยุบลงไป อันจะเป็นสัญญาณว่าให้ขุดเอารากมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำเอารากไปใช้ประโยชน์ (แช่อิ่มหรือตากแห้ง) ได้แล้ว

                    ยอดของสาว ร้อยผัว สามารถนำมาลวกรับประทานเป็นผักจิ้มได้ (edible) ส่วนใหญ่จะรู้จักรับประทานแต่คนเก่าๆ แถวภาคอีสานของเรา และนับวันจะมีคนรู้จักรับประทานน้อยลง

                     ในทางสรรพคุณยา รากสามสิบ (สาวร้อยผัว) มีรสหวานเย็น ใช้รักษาโรคตับหรือปอดพิการ บำรุงตับและปอด บำรุงทารกในครรภ์ (ครรภรักษา) บำรุงกำลัง แก้กระษัย และช่วยขับปัสสาวะ

                    ใน "พระคัมภีร์สรรพคุณ (แลมหาพิกัด)" ซึ่งเชื่อว่า เป็นคัมภีร์ยาที่แต่งขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา (เพราะปรากฏอยู่ใน "ตำราพระโอสถพระนารายณ์") ได้กล่าวถึงสรรพคุณของรากสามสิบไว้ว่า

"ผักหวานตัวผู้มีรสหวาน แก้กำเดา แก้จักษุโรค รากสามสิบทั้ง 2 มีคุณยิ่งกว่าผักหวาน"

                     กำเดา หรือไข้กำเดา มี 2 ชนิด อย่างหนึ่ง ตัวร้อน ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และอีกอย่างหนึ่ง อาการรุนแรงมากกว่า มีเม็ดผุดขึ้นตามร่างกาย คัน ไอ มีเสมหะ เลือดออกทางปากและจมูก

                     ใน "พระคัมภีร์วรโยคสาร" ซึ่ง "อมรเสกมหาอำมาตย์" เสนาบดีแห่งลังกาทวีป เป็นผู้รจนาไว้ (มาปรากฏหลักฐานในไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2413-สมัย ร.5) ในหนังสือ "พระคัมภีร์เวชศาสตร์สงเคราะห์" เป็นตำราการแพทย์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระคัมภีร์ในพระพุทธศาสนาหรือพระ ไตรปิฎก (ที่เรียกการรักษาโรคว่า "ติกิจฉาวิธี"-เวชกรรม) แม้จะเข้าใจค่อนข้างยาก แต่ก็น่าสนใจและน่าศึกษา ความตอนหนึ่งได้กล่าวถึงตำรับยารักษา "คนธาตุหย่อน" อันมีตัวยารากสามสิบ (สะตาวะริ) รวมอยู่ด้วย ดังนี้.-

                      "มะหาแกแนศ 1 สิหิงแกะแนศ 1 อมุกกะรา 1 มะหาแกสิยะ 1 พะลา คือ ขัดมอน 1 เลละสิริแวะฑียะ 1 เอระมินิยะ คือ เล็บเหยี่ยว 1 อัศเวนนะ คือ หญ้าเกล็ดหอย 1 วะจา คือ ว่านน้ำ 1 นิหิสุปะละ 1 พิละวะ คือ มะตูม 1 หิริมะสุ, ระมะนิ คือ รากอบเชย 1 กิริอังคุนะ 1 แอะแทสิยะปะลุ 1 มุตุนุแวนนะ คือ ผักเปด 1 อะมะตะวัลลี คือ บอระเพ็ด 1 สะตาวะริ คือ รากสามสิบ 1 โคอุระ คือ โคกกระสุน 1 นิระละ 1 สุลุแกระ คือ หญ้าคมบางเล็ก 1 กัฏฐเวละพฎุ คือ มะเขือหนาม 1 ตะฑะพุทุ 1 เหละพฎุ คือ มะเขือขาว 1 มะธุลัฐิ คือ ชะเอม 1 มิทิ คือ คนทีสอใหญ่ 1 แปะปิลิยะ คือ โกศจุฬาลำพา 1 คณะดังกล่าวมานี้ให้จำเริญชีวิตร ให้เกิดกำลัง ให้บำรุงไฟธาตุ ให้จำเริญอินทรีย์แต่ละอย่าง มีกำลังมากต่างกัน กินเข้าไปแล้วหาโทษมิได้ ให้เอาน้ำตาลกรวด น้ำผึ้ง น้ำนมโค น้ำมันเนย ทั้ง 4 สิ่งนี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เปนกระสายละลายยา สิ่งหนึ่งก็ได้ 2 สิ่งก็ได้ ทั้งหมดก็ได้ เด็กก็ดี คนแก่ก็ดี คนมีกำลังก็ดี คนผอมก็ดี คนไม่มีกำลังก็ดี คนธาตุหย่อนก็ดี ให้ประกอบยานี้กินเถิด

อนึ่ง กินแล้วให้บังเกิดบุตร ให้อกตอแค่นแขงทั้ง 4 มีกำลัง ถึงกระดูกหักก็ดี แพทย์ก็นับถือรักษาด้วยยานี้เถิด"

                      ยา ตำรับนี้นับว่าน่าสนใจ เสียดายแต่เพียงว่า ท่านผู้รู้ยุคก่อนท่านแปลมาไม่ครบ สมุนไพรหลายตัวเราไม่ทราบว่าเป็นอะไร อาจจะเป็นด้วยสมุนไพรชนิดนั้นๆ ไม่มีในประเทศไทย หรือหากมีท่านผู้แปลก็ไม่ทราบว่าเป็นตัวยาตัวไหนก็อาจจะเป็นได้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ทราบถึงสรรพคุณของสมุนไพรหลายตัวด้วยกัน เช่น หญ้าขัดมอน ต้นเล็บเหยี่ยว หญ้าเกล็ดหอย ว่านน้ำ มะตูม รากอบเชย ผักเป็ด บอระเพ็ด รากสามสิบ หญ้าคมบาง และโกศจุฬาลำพา เป็นต้น

                        อีกตำรับหนึ่ง เป็นยาแก้โรคผอมแห้ง โรคลม และแก้หอบหืด มีด้วยกัน 20 อย่าง ได้แก่ หญ้าเกล็ดหอยใหญ่ 1 ผักโหมหินเล็ก 1 ผักโหมหินใหญ่ 1 ละหุ่งขาว 1 ละหุ่งแดง 1 ทองกวาว 1 อุสภะกะชิวกะ 1 โคกกระสุน 1 รากสามสิบ 1 ดองดึง 1 หัวเบ็ญจปัตตะ 1 วณะแวนนะ 1 มะเขือหนาม 1 มะเขือเครือ 1 แอดสฏิยะ 1 พาสุลุ 1 เหละฑิยะ 1 (ถ้าไม่ได้ให้เอา มุแวนนะ มหาเหละฑิยะ ถ้าไม่ได้ เอามะละแวนนะ) อาจาริยะกล่าวไว้ให้เอาสิ่งละ 40 กล่ำ ถั่วดำ 1 สะตือ 1 สวาด 1 ยาหมู่นี้แก้ผอมแห้ง แก้คุลุมโรค (โรคลมต่างๆ) ก็ได้ แก้ลม แก้หอบก็ได้ แก้ปิตตะก็ได้แล ฯลฯ

                     อีกขนานหนึ่งที่ได้จาก "พระคัมภีร์วรโยคสาร" (ที่แปลมาจากตำราของชาวสิงหล) เป็นรากไม้ 17 อย่าง (รวมทั้งรากสามสิบ และรากมะรุม) ได้แก่ สันพร้ามอน 1 ฏุกแวลังคุ 1 รากสามสิบ 1 มะตูม 1 สิหิแมฑหังคุ 1 มะรุม 1 หญ้าคา 1 ดอกคำทั้ง 2 มะเขือขาว 1 มะเขือหนาม 1 ธารุสกะ คือ มะปราง 1 นิยะทะ 1 ติดติคะ 1 (ถ้าไม่ได้เอาเกมิทะก็ได้) คนทีสอใหญ่ 1 สะค้าน 1 เจตมูลเพลิง 1 สะตือ 1 ยาดังกล่าวนี้มีชื่อว่า วะระนาทิคณะ แก้อันตะวิทราโรค (โรคที่มีอาการเสียดแทงในลำไส้ใหญ่) แก้มันทาคินี แก้เสมหะ แก้คุลุมโรคหายแล ยาขนานนี้ให้เอาแต่รากทั้งหมด

                    ตำรับสุดท้ายที่ได้ จากพระคัมภีร์วรโยคสาร ก็คือ ยาแก้เสมหะ มีสมุนไพรอยู่ 16 อย่างด้วยกัน ได้แก่ ทุรุวาทิคณะก็ดี 1 หญ้าแพรก 1 ตำแยเครือ 1 สะเดา 1 เสนียด 1 วัททุรุ 1 แห้วหมู 1 รากสามสิบ 1 กลิละ 1 ประยง 1 เอานิโครธาคณะก็ดี อุปะลาทิคณะก็ดี อัศษนาทิก็ดี สุระลาทิคณะก็ดี มุตตาทิคณะก็ดี วจาทิคณะก็ดี คณะทั้งหลายนี้แก้เสมหะหายฯ

                   ที่ได้ยกเอาตำรับยา (ที่เข้าด้วยรากสามสิบ) มารวม 4 ตำรับนั้น เจตนาก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงภูมิหลังความเป็นมาของสมุนไพรชนิด นี้ เพราะเราคงจะนำเอาตำรับยาดังกล่าวมาปรุงเป็นโอสถเพื่อใช้รับประทานไม่ได้ เนื่องจากเราไม่ทราบว่าตัวยาอีกหลายชื่อคือพืชชนิดใด (เพราะเป็นภาษาสิงหล หรืออาจจะเป็นภาษามคธของศรีลังกา)

                     ในตอนท้ายของตำรับยาตำรับที่ 2 คือยาแก้โรคผอมแห้งนั้น มีถ้อยคำที่น่าสนใจอยู่คำหนึ่งคือ คำว่า "กล่ำ" ท่านบอกว่า ให้เอาสิ่งละ "40 กล่ำ" ซึ่งเป็นมาตราเงินโบราณ โดยกล่ำ ท่านหมายถึง มะกล่ำตาช้าง แต่หากเป็นกล่อม ท่านหมายถึง มะกล่ำตาหนู ซึ่ง 2 กล่อม จะเท่ากับ 1 กล่ำ และ 1 กล่ำ ก็คือ 1 อัฐ 8 อัฐ เท่ากับ 4 ไพ และเท่ากับ 1 เฟื้อง หรือ 2 อัฐ เท่ากับ 1 ไพ นั่นเอง

                 อ่านมาถึงตอน นี้ อาจจะมีบางท่านอยากถามว่า ถ้าเราอยากจะได้ตำรับยาที่เข้ารากสามสิบตำรับที่สมบูรณ์และนำมาใช้รับประทาน เพื่อรักษาโรคได้จริงๆ จะบอกได้สัก 1 ตำรับ หรือไม่? ขอตอบว่า บอกได้ เป็นยาต้ม บำรุงครรภ์ (เรียกว่า "ยาครรภ์รักษา" หรือ "ยาครรภรักษา") อีกทั้งใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้ปวดศีรษะอีกด้วย มีสมุนไพรทั้งหมด 13 ชนิด ใช้อย่างละเท่าๆ กัน (เสมอภาค) ได้แก่ รากสามสิบ แก่นสน ชะลูด ขอนดอก กฤษณา กระลำพัก อบเชย เปลือกสมุลแว้ง เทียนทั้ง 5 บัวน้ำทั้ง 5 โกฐทั้ง 5 จันทน์ทั้ง 4 และเทพทาโร

                    นำยาทั้งหมดมาใส่ในหม้อเคลือบหรือหม้อดิน เติมน้ำลงไปให้ท่วมตัวยา สูงราว 6-7 เซนติเมตร ปล่อยแช่ไว้ราวๆ 15 นาที แล้วนำขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ ต้มเคี่ยวนานราว 30 นาที น้ำยาเดือดและมีกลิ่นหอมจึงยกหม้อลงจากเตา

ใช้ดื่ม 2 เวลา ก่อนอาหาร (เช้า-เย็น) เป็นยาบำรุงครรภ์อย่างดี

                   สำหรับ ข้อมูลด้านการตลาดสำหรับหัวรากสามสิบตากแห้งนั้น สอบถามดูแล้ว ราคาไม่ต่ำกว่า กิโลกรัมละ 250 บาท ก็นับว่าดีพอใช้ เกษตรกรที่สนใจอาจจะปลูกเป็นรายได้เสริม หรือสำหรับคนในเมืองอาจจะปลูกเอาไว้ดูเถาที่เลื้อยขึ้นตามริมรั้วหรือโคน ต้นไม้อื่น ดูสบายตา และสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง


                นี่แหละคือเรื่องราวของ สมุนไพรที่ช่วยบำรุงครรภ์แก่สตรี รวมไปถึงบำรุงสุขภาพโดยรวม จนคนเก่าๆ เห็นดีจริง เลยตั้งชื่อให้ว่า "ต้นสาวร้อยผัว" ...เรียกว่า สู้ได้ทั้งบาง ว่างั้นเถอะ

                  อ้อ! เกือบลืมความรู้สำหรับแม่บ้านไปอย่างหนึ่งคือ การแช่อิ่มรากสามสิบ ก็ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก เพียงล้างรากสามสิบให้สะอาด เกลาผิวนอกออกให้เกลี้ยง หักหรือตัดแล้วดึงเอาเส้นกลางรากออก ล้างแล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ นำไปแช่อิ่มในน้ำเชื่อมสัก 3 น้ำ (อุ่นน้ำเชื่อม 3 ครั้ง) ก็จะได้รากสามสิบแช่อิ่มที่มีรสชาติถูกปาก พร้อมมีสรรพคุณในทางสมุนไพรไว้รับประทานในครัวเรือนแล้ว หากมีปริมาณมากก็นำออกเผยแพร่ ขายเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เสียเลย สาวร้อยผัวแช่อิ่ม...โก้หยอกเสียเมื่อไหร่


     ที่มา  เทคโนโลยีชาวบ้าน  ไพบูลย์ แพงเงิน


บันทึกการเข้า
คะแนนน้ำใจ 4206
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลบอร์ดนักโพสดีเด่น
กระทู้: 681
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2556, 05:40:14 PM »

Permalink: Re: ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว
สาวร้อยผัว ..อืมมนะเข้าใจตั้งชื่อเนอะ


บันทึกการเข้า




คะแนนน้ำใจ 1992
เหรียญรางวัล:
นักอ่านยอดเยี่ยม
กระทู้: 163
ออฟไลน์ ออฟไลน์
อีเมล์
   
« ตอบ #2 เมื่อ: 06 มิถุนายน 2566, 08:34:43 AM »

Permalink: Re: ผักพื้นบ้าน...สาวร้อยผัว
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: