-/> ฟักแม้ว

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ฟักแม้ว  (อ่าน 952 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 2776
เหรียญรางวัล:
นักอ่านยอดเยี่ยม
กระทู้: 201
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2566, 07:28:48 PM »

Permalink: ฟักแม้ว



ฟักแม้ว  หรือ มะระหวาน ภาษาอังกฤษ ชาโยเต้ (Chayote)
ฟักแม้ว ชื่อวิทยาศาสตร์ Sechium edule (Jacq) Swartz. จัดเป็นไม้เถาที่อยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE


ฟักแม้ว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะระแม้ว มะระหวาน มะเขือเครือ มะเขือฝรั่ง มะระญี่ปุ่น
ฟักญี่ปุ่น มะเขือนายก บ่าเขือเครือ ฟักม้ง แตงกะเหรี่ยง เป็นต้น ลักษณะของฟักแม้ว
ต้นฟักแม้ว หรือ ต้นมะระหวาน มีถิ่นกำเนิดในทางตอนใต้ของประเทศเม็กซิโกและแถบอเมริกากลาง
ซึ่งในปัจจุบันมีการเพาะปลูกอยู่ทั่วโลก โดยสันนิษฐานกันว่ามีการนำเข้ามาปลูกในไทย
โดยหมอสอนศาสนา และให้ชาวบ้านปลูกครั้งแรกที่จังหวัดแพร่ แต่ในปัจจุบัน
จะเพาะปลูกฟักแม้วกันมากในจังหวัดเลย เพชรบูรณ์ และจังหวัดทางภาคเหนืออย่างเชียงราย
โดยจัดเป็นเถาไม้เลื้อย ลักษณะทั่วไปจะคล้ายกับพืชที่อยู่ในตระกูลแตง
แต่มีลักษณะหลายอย่างที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะของลำต้น ใบ ยอด และมือจับ
คล้ายต้นแตงกวาผสมฟักเขียว มีระบบรากสะสมขนาดใหญ่ ลำต้นฟักแม้วมีลักษณะเป็นเหลี่ยม
 เจริญเป็นเถา มีความยาวประมาณ 15-30 ฟุต มีเถาแขนง 3-5 เถา มีมือเกาะเจริญ




ใบฟักแม้ว หรือ ใบมะระหวาน ขอบใบมีลักษณะเป็นเหลี่ยม 3-5 เหลี่ยม
มีความยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายใบตำลึงแต่มีขนาดใหญ่กว่า
ใบมีขนระคายทั้งด้านบนและด้านล่าง





ดอกฟักแม้ว หรือ ดอกมะระหวาน มีสีขาวปนเขียว ดอกจะเกิดตามข้อระหว่างต้นกับก้านใบ
 ออกดอกเป็นช่อ ดอกเป็นประเภทไม่สมบูรณ์เพศ หรือดอกตัวผู้และดอกตัวเมียจะอยู่คนละดอก
แต่อยู่ในต้นเดียวกัน

ผลฟักแม้ว หรือ ผลมะระหวาน เป็นผลเดี่ยว ลักษณะเป็นทรงกลมยาว
ผลมีสีเขียวอ่อน รูปร่างคล้ายลูกแพร์ ผลมีความยาวประมาณ 7-20 เซนติเมตร
และกว้างประมาณ 5-15 เซนติเมตร หนึ่งผลมีน้ำหนักราว 200-400 กรัม รสเย็น
เนื้อผลมีรสหวาน รสคล้ายกับฝรั่งปนแตงกวา




สรรพคุณของฟักแม้ว
1...ช่วยบำรุงหัวใจและหลอดเลือด ด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน (ผล, ใบ)
2... น้ำต้มใบและผลนำมาใช้ในการรักษาอาการเส้นเลือดแข็งตัวได้ (ผล, ใบ)
3...มะระหวานช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง ด้วยการดื่มน้ำที่ต้มจากผลและใบฟักแม้ว (ผล, ใบ)
4... ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน (ผล, ใบ)
5...ยอดฟักแม้วช่วยในการขับถ่าย ทำให้ถ่ายได้สะดวกขึ้น จึงป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี (ใบ)
6...ผลและใบฟักแม้วนำมาใช้ดองเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ (ผล, ใบ)
7...น้ำต้มใบและผลฟักแม้วช่วยสลายนิ่วในไต (ผล, ใบ)
8...ช่วยแก้อาการอักเสบด้วยการใช้ผลและใบมาดองเป็นยาไว้กิน (ผล, ใบ)

ประโยชน์ของฟักแม้ว
1... ฟักแม้วเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระมากมายที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
     ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
2...ผลฟักแม้วมีโฟเลตสูง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับทารกในครรภ์
     เพราะช่วยป้องกันการพิการของทารกแต่กำเนิด (ผล)
3...ยอดอ่อนและผลอ่อนสามารถใช้รับประทานได้ แถมยังประกอบไปด้วยวิตามิน
     และกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด เช่น แคลเซียม
     ที่มีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
4...ผลสามารถนำมาหั่นเป็นฝอยหรือสไลซ์เป็นแผ่นใช้ผัดกับไข่ได้
     หรือใช้ผัดกับน้ำมัน หรือจะนำมาตำส้มตำใช้แทนมะละกอได้ เพราะมีเนื้อกรอบหวาน
5...เมนูฟักแม้ว ยอดอ่อนฟักแม้วสามารถนำมาต้มกินกับน้ำพริก
     ใช้ทำต้มจืด แกงเลียง ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ผัดกับหมู ผัดน้ำมันหอย ลาบ
     ยำยอดฟักแม้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วจะนำมาผัดน้ำมันหอย
6...รากฟักแม้วส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยแป้ง
     สามารถนำมาใช้ต้มหรือผัดเพื่อรับประทานได้
7...ปกติแล้วจะนิยมใช้ส่วนของผล ใบ และรากเพื่อประกอบอาหาร
     แต่ลำต้นและเมล็ดก็สามารถรับประทานได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่เป็นที่นิยม
8...รากฟักแม้วสามารถนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้




คุณค่าทางโภชนาการของผลฟักแม้ว ต่อ 100 กรัม
..พลังงาน 19 กิโลแคลอรี
..คาร์โบไฮเดรต 4.51 กรัม
..เส้นใย 1.7 กรัม
..ไขมัน 0.13 กรัม
..โปรตีน 0.82 กรัม
..วิตามินบี 1 0.025 มิลลิกรัม 2%
..วิตามินบี 2 0.029 มิลลิกรัม. 2%
..วิตามินบี 3 0.47 มิลลิกรัม 3%
..วิตามินบี 5 0.249 มิลลิกรัม 5%
..วิตามินบี 6 0.076 มิลลิกรัม 6%
..วิตามินบี 9 93 ไมโครกรัม 23%
..วิตามินซี 7.7 มิลลิกรัม 9%
..วิตามินอี 0.12 มิลลิกรัม 1%
..วิตามินเค 4.1 ไมโครกรัม 4%
..ธาตุแคลเซียม 17 มิลลิกรัม 2%
..ธาตุเหล็ก 0.34 มิลลิกรัม 3%
..ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3%
..ธาตุฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม 3%
..ธาตุโพแทสเซียม 125 มิลลิกรัม 3%
..ธาตุสังกะสี 0.74 มิลลิกรัม 8%


% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
ข้อมูลอ้างอิง (Source) :


บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: