-/> ผู้มาเยือน

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้มาเยือน  (อ่าน 1678 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 2656
เหรียญรางวัล:
มีความคิดสร้างสรรค์นักโพสดีเด่น
กระทู้: 139
ออฟไลน์ ออฟไลน์
อีเมล์
   
« เมื่อ: 30 มิถุนายน 2563, 10:13:35 PM »

Permalink: ผู้มาเยือน





“ผู้มาเยือน”
โดย….วิเวก   วังเวง
……คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม  พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีเหลืองซีด  แขวนอยู่บนกิ่งฟ้าอย่างหงอยเหงา  ส่องแสงสลัวมัวหม่น  เปิดโอกาสให้หมู่ดาวน้อยใหญ่ได้เปล่งแสง ข่มรัศมีจันทรา วะวิบวาว พร่างพราวเต็มผืนฟ้า
……ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อนๆ และฉันที่พักอยู่หอพัก จะพากันกลับบ้าน  แต่สัปดาห์นี้ อาจารย์จะพานักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ ไปปฏิบัติธรรม ที่สำนักสงฆ์วิเวการาม แต่คนมักเรียกติดปากว่าวัด เพราะสั้นดี ซึ่งอยู่กลางป่าบนเทือกเขาภูพานโน่นแน่ะ ฉันจึงอดกลับบ้านอย่างน่าเสียดาย  แต่มาคิดอีกที ก็ดีเหมือนกัน  ที่นานๆ จะได้มีโอกาสไปวัด ปฏิบัติธรรม สักครั้ง  จะเห็นว่าสมัยนี้พวกเด็กๆ และวัยรุ่นไม่ค่อยเข้าวัดกัน  ถ้าครู-อาจารย์ไม่บังคับ หรือพาไป ก็ไม่เห็นมีใครอยากจะไปสักคน  ฉันเคยได้ยินเพื่อนๆ พูดติดตลกว่า “ของฟรีที่ไม่ชอบ คือไปวัด กับฉีดยาวัคซีน” แต่ฉันคิดว่าไม่ตลกสักนิดเดียว  คุณยายเคยบอกฉันว่า “คนที่ห่างวัดวา ห่างศาสนา ย่อมเกิดมาเป็นคนไม่สมบูรณ์” ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นคนไม่สมบูรณ์อย่างไร คุณยายได้อธิบายอย่างรู้แจ้งเห็นจริงว่า “คนที่จะสมบูรณ์แบบต้องมี สัปปุริสธรรม  แปลว่าธรรมของสัปปุริสชน คือคนดี หรือคนที่แท้ ซึ่งมีคุณสมบัติของความเป็นคนที่สมบูรณ์”  ฉันไปค้นคว้าหาคำว่า “สัปปุริสธรรม” ในกูเกิ้ลเพิ่มเติม จึงรู้ว่า มี ๗ ประการ ล้วนเป็นจริงดังที่คุณยายบอกไม่มีผิด
……พวกเราไปถึงสำนักสงฆ์วิเวการาม ประมาณ ๕ โมงเย็น  ทางมัคนายกวัด และชาวบ้านได้จัดเตรียมที่นอนหมอนมุ้งให้อาจารย์และนักศึกษา แยกชาย-หญิง ไปพักที่ศาลาคนละหลัง ห่างกันประมาณช่วงเสาไฟฟ้า
“เก็บสัมภาระและอาบน้ำแต่งกายด้วยชุดขาวเสร็จแล้ว ไปรวมกันที่ศาลาปฏิบัติธรรม เวลา ๑ ทุ่มตรง” อาจารย์วาสนา ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการบอกกับทุกๆ คน ก่อนแยกย้ายกันไปพักตามเรือนนอนที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้
…...ฉันกับเพื่อนผู้หญิง ๑๐ กว่าคน ไปรออาจารย์และเพื่อนๆ ที่ศาลาปฏิบัติธรรมก่อนเวลา ๑๕ นาที เพื่อนผู้ชายและคนอื่นๆ เริ่มทยอยมาตามเวลาที่กำหนด จนครบทุกคน มัคนายกวัดจึงทำพิธี นำสวดมนต์ไหว้พระ หลังเสร็จพิธี เจ้าอาวาสเทศนา ๑ กัณฑ์ ขณะฟังพระธรรมเทศนาจากเจ้าอาวาส  ทุกคนเริ่มปฏิบัติธรรม  โดยการนั่งสมาธิ เจ้าอาวาสท่านสอนให้นั่งขัดสมาธิเพชร คือเอาขาซ้ายทับขาขวา แล้วดึงขาขวาไขว้ขึ้นมาทับขาซ้าย  ซึ่งเป็นการนั่งที่ยากและทรมานสุดๆ นั่งไม่ถึง ๕ นาที หลายคนเริ่มกระสับกระสาย  ลืมตาเปลี่ยนอิริยาบถไปมาบ่อยๆ
......เจ้าอาวาสเทศนาว่า “การนั่งสมาธิ เป็นการข่มกิเลส  ฝึกความอดทน  จิตใจจะต้องแน่วแน่  ถ้าไม่อดทน ก็จะเป็นลิงเป็นค่าง คือหยุกๆ หยิกๆ อยู่ไม่เป็นสุข”  ฉันคิดว่าพวกเราล้วนเป็นลิงเป็นค่างอย่างที่เจ้าอาวาสเทศนาจริงๆ
……นานเกือบชั่วโมง ที่พวกเรานั่งทรมานกาย  -ใจ เพื่อข่มกิเลส ฝึกความอึด จนขาเป็นเหน็บชา สี่ทุ่มเศษๆ จึงแยกย้ายกันกลับที่พัก  ตกดึกอากาศเริ่มหนาวเย็น ลมกรรโชกแรง พัดกิ่งไม้โอนเอนไปมา ดูน่ากลัว ฉันรู้สึกปวดท้องหนักอย่างกะทันหัน ส้มตำเมื่อตอนกลางวันคงทำพิษให้แล้ว  ดีนะ ที่ไม่ปวดตอนนั่งสมาธิ ไม่เช่นนั้น คงแย่ ฉันปลุกดาว เพื่อนสนิท ที่นอนใกล้ๆกัน ไปเป็นเพื่อน เพื่อปลดทุกข์ที่ห้องน้ำ ซึ่งอยู่ห่างจากศาลาที่พัก ประมาณ ๕๐ เมตร เราค่อยๆ ลุกเดินไปให้เงียบกริบที่สุด กลัวเพื่อนๆ และอาจารย์จะตื่น
“แกยืนรอที่หน้าห้องน้ำนะ อย่าไปไหน” ฉันกำชับดาวเพื่อนรัก ก่อนเข้าไปปลดทุกข์ในห้องน้ำ อย่างสบายอารมณ์
......สายลมพัดหวีดหวิว เสียงหอนอย่างโหยหวน ของหมาที่ใต้กุฏิพระดังรับกันเป็นทอดๆ ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ แต่ก็อุ่นใจที่มีดาว เพื่อนที่รู้ใจยืนรออยู่ข้างนอก
......หลังเสร็จกิจฉันเปิดประตูออกมา  “อ้าว ! ดาวหายไปไหน” ฉันกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณ เห็นดาวยืนหันหลังให้ที่ใต้ต้นไม้ใกล้ห้องน้ำ จึงรีบเดินเข้าไปหา และเอามือแตะไหล่ พร้อมกับเรียกชื่อดาวเบาๆ
......ดาวค่อยๆ หันมา และยิ้มให้ ฉันถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ! อ้าปากค้าง !! ตาเหลือกเท่าไข่ห่าน ถอยหลังครูด ๒-๓ ก้าว
......เพราะใบหน้าที่แสยะยิ้มให้ฉันนั้น มันไม่ใช่ใบหน้าของดาว แต่เป็นใบหน้าของใครก็ไม่รู้ ดูสิ! ดวงตาลึกโบ๋ แก้มตอบเป็นยายแก่ ลิ้นยาวห้อยต่องแต่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง พอตั้งสติได้ ฉันร้องตะโกนลั่นสุดเสียง
“ผีหลอก ! ! !....”
“โครม!!”  ฉันล้มลงหมดสติ ณ ตรงนั้นเอง

......โอ้ดาวเพื่อนรัก เธอวิ่งหนีฉันมาตั้งแต่หมาตัวแรกส่งเสียงหอน โบรว์!!!
**********



บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: