-/> ฆ่าคนตายโดยเจตนา กับ ฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่างกันอย่างไร ?

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดอาชีพรู้กฎหมาย คลายปัญหา (ผู้ดูแล: พรหมพิพัฒน์)ฆ่าคนตายโดยเจตนา กับ ฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่างกันอย่างไร ?
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ฆ่าคนตายโดยเจตนา กับ ฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่างกันอย่างไร ?  (อ่าน 1764 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ดูแลเรื่องกฏหมายของเว็บ
คะแนนน้ำใจ 1010
กระทู้: 130
ออฟไลน์ ออฟไลน์
อีเมล์
   
« เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2559, 01:49:05 PM »

Permalink: ฆ่าคนตายโดยเจตนา กับ ฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่างกันอย่างไร ?
ฆ่าคนตายโดยเจตนา กับ ฆ่าคนตายโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ต่างกันอย่างไร ?

ก่อนอื่นไปทำความเข้าใจถึงคำว่า "ไตร่ตรอง" มีความหมายว่าอะไร

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน

#ไตร่ตรอง มีความหมายว่า

"คิดทบทวน ตริตรอง"

#ไตร่ตรองไว้ก่อน มีความหมายว่า

"คิด หรือวางแผนไว้ก่อนลงมือกระทำความผิด"

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ ระบุไว้ว่า ผู้ใด

๑. ฆ่าบุพการี

๒. ฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่กระทำการตามหน้าที่

๓. ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้น กระทำตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่บุคคลนั้นจะช่วย หรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว (ฆ่าพลเมืองดีที่มาช่วยเจ้าพนักงาน)

๔. ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

๕. ฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน หรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย

๖. ฆ่าผู้อื่น เพื่อตระเตรียมการเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น (เช่น ฆ่าเจ้าทรัพย์ก่อนลงมือปล้น)

๗. ฆ่าผู้อื่น เพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำไว้ (เช่น ฆ่าเหยื่อเพื่อปิดปาก)

ซึ่งโทษตามความผิดนี้ถือเป็นความผิดฉกรรจ์ มีโทษสถานเดียว คือ #ประหารชีวิต

จุดแตกต่าง คือ มีเวลาคิดที่จะกระทำ กับ ไม่มีเวลาคิดที่จะกระทำ

#เจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คือ

"มีเวลาคิดที่จะฆ่าผู้อื่น และมีการวางแผน"

ยกตัวอย่าง เช่น เราไปมีเรื่องกับใครโดยบังเอิญแล้วเกิดมีการทะเลาะวิวาท จนทำให้เรามีความเจ็บแค้น จากนั้นได้กลับบ้านไปหาอาวุธมาสังหารคู่กรณี แบบนี้จะถือว่า เข้าข่ายเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หรือกรณีที่เด่นชัดมาก คือ กรณีจ้างมือปืนไปสังหารผู้อื่น แบบนี้ชัดเจนเลยว่า เป็นการเจตนาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

แต่หากเป็นกรณีมีเหตุทะเลาะวิวาทลงไม้ลงมือกัน แล้วเกิดมีการชักปืนมายิงคู่กรณีจนเสียชีวิตในระหว่างการลงไม้ลงมือทันทีทันใดเดี๋ยวนั้นเลย ลักษณะแบบนี้จะไม่เข้าข่าย เจตนาฆ่าโดยมีการไตร่ตรองไว้ก่อน แต่จะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งมีโทษ

"ประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก ๑๕ - ๒๐ ปี"

คดีไหนฆ่าโดยเจตนา คดีไหนฆ่าโดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ต้องดูเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง พยาน และหลักฐานทางคดีเป็นสำคัญ

ขอขยายในประเด็น มีเวลาคิดและไตร่ตรอง เพื่อให้เกิดความชัดเจนเพิ่มเติมอีกนิด คือ

การจะพิสูจน์ว่ามีการไตร่ตรองเอาไว้ก่อนหรือไม่ ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผ่านมานั้น เอาแค่ว่า ผู้ต้องหา มีพฤติการณ์ถูกคู่กรณีทำร้ายร่างกายจนเกิดความโมโห จากนั้นกลับบ้านไปหาอาวุธมาดักทำร้ายคู่กรณีจนเสียชีวิต ซึ่งระยะเวลาในการลงมือ อาจกินระยะเวลาเพียง ๕ หรือ ๑๐ นาที ลักษณะแบบนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า เข้าข่ายมีเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อนเหมือนกัน

ส่วนอาวุธที่จำเลยใช้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณา เพราะคำว่า ไตร่ตรอง มันอยู่ที่ความคิด เพราะฉะนั้นการฆ่าผู้อื่น จะด้วยอาวุธหรือมือเปล่า หากมีเวลาคิดและวางแผนเตรียมการ ก็ถือว่าเข้าข่าย เจตนาฆ่าโดยมีการไตร่ตรองไว้ก่อน เช่นกัน

สิ่งสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า จำเลย มีพฤติการณ์เข้าข่ายว่า ได้มีการไตร่ตรองไว้ก่อน หรือไม่ อยู่ที่การนำสืบให้เห็นพฤติกรรมของ จำเลย ว่า ก่อนที่จะลงมือสังหารคู่กรณี มีสาเหตุอะไรหรือไม่ ที่ทำให้เกิดการผูกใจเจ็บ จนต้องลงมือสังหารเหยื่อ แต่หากการนำสืบ ไม่พบว่ามีการผูกใจเจ็บกันมาก่อน จู่ ๆ ก็เกิดมีการฆ่ากันตาย แบบนี้ส่วนใหญ่ก็จะไปเข้าข่าย มาตรา ๒๘๘ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาแต่ไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน

สำหรับ #เหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จะประกอบด้วย

๑. ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา

๒. เป็นผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส เช่น กรณีผู้ที่ไปตกอยู่ในที่ที่ไม่มีอาหารกิน จนต้องไปขโมยของคนอื่นกิน

๓. มีคุณงามความดี เช่น เป็นข้าราชการที่มีประวัติการทำงานดีมาโดยตลอด

๔. รู้สึกถึงความผิด และพยายามบรรเทาผลร้าย

๕. ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน หรือให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เช่น ยอมเข้ามอบตัว รับสารภาพ พาเจ้าพนักงานไปดูที่เกิดเหตุ

หากมีจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ไม่มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี เพราะความผิดชัดแจ้ง พูดง่าย ๆ คือ จำนนต่อหลักฐาน ศาลก็อาจมีดุลยพินิจ ไม่ลดโทษได้ เช่นกัน

คดีโจ๋ทำร้ายชายพิการจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต
จุดเริ่มต้น หากพยานและหลักฐานครบ คดีไหนผู้ต้องหาก็ไม่รอด

ตามลำดับของกระบวนการยุติธรรม จะเริ่มต้นจาก ผู้เสียหายไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้น ตำรวจจะทำการสอบสวนแล้วส่งต่อให้อัยการ เพื่อพิจารณาส่งฟ้องต่อศาล

หากตั้งแต่จุดเริ่มต้น ไม่สามารถรวบรวมพยานและหลักฐานได้มากเพียงพอ สำหรับการนำไปใช้เอาผิดผู้ต้องหา ศาล ซึ่งอยู่ปลายน้ำของกระบวนการยุติธรรม จะไปตัดสินนอกเหนือจากพยานและหลักฐาน ตามสำนวนที่ถูกส่งฟ้องมาไม่ได้

"ศาล ไม่ได้เหมือน เปาบุ้นจิ้น เพราะ เปาบุ้นจิ้น จะมีลักษณะเป็นทั้งตำรวจและศาลในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นเมื่อ เปาบุ้นจิ้น เห็นว่าพยานและหลักฐานไม่เพียงพอ ก็จะสั่งจั่นเจาให้ไปหาหลักฐานและพยานมาเพิ่มได้ แต่ ศาล ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้"

#เจตนาฆ่า นั้น เป็นการฆ่าคนโดยผู้ลงมือกระทำผิดคิดตัดสินใจลงมือฆ่าโดยฉับพลันทันใด ไม่มีการวางแผน หรือเตรียมการใด ๆ เพื่อจะไปฆ่า

#เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ผู้กระทำผิดมีการคิด ตัดสินใจลงมือฆ่าเช่นเดียวกันกับเจตนาฆ่า แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ การฆ่าโดยไตร่ตรอง จะมีการวางแผนฆ่าก่อนลงมือฆ่า ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้เด่นชัดก็คือ พวกจ้างวานและมือปืนรับจ้างทั้งหลาย ความเหมือนกันของสองข้อหานี้ก็คือ มีเจตนาชั่ว ที่จะลงมือฆ่าผู้อื่นให้ตายเหมือนกัน

ความแตกต่างกันก็คือ

"ข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรอง จะมีกระบวนการวางแผนก่อนไปลงมือฆ่า ความชั่วหรือความอำมหิตจึงมีมากกว่า เจตนาฆ่าธรรมดา"

ดังนั้น ห้วงเวลาก็เป็นข้อพิจารณาที่สำคัญ เช่น หากมีการทะเลาะวิวาทกัน จากนั้นมีการท้าทายกันว่าเดี๋ยวกลับมา เมื่อกลับไปบ้านตระเตรียมอาวุธมา ระยะเวลาห่างกันสองสามชั่วโมง แล้วมาสังหารคู่กรณี แบบนี้ชัดเจนว่ามีการไตร่ตรองที่จะฆ่า เพราะมีกระบวนการคิดวางแผน แต่กลับกัน หากมีเหตุวิวาทในฉับพลันทันใด แล้วมีการลงไม้ลงมือกันจนถึงขั้นเสียชีวิต ณ เวลานั้นเลย ก็เข้าข่ายข้อหา เจตนาฆ่า หรือ ฆ่าคนตายโดยเจตนา

การที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อหา ผู้ต้องหา ในชั้นสอบสวน เมื่อสำนวนมาถึงพนักงานอัยการ ตามข้อกฎหมายนั้น อัยการเห็นแย้งตำรวจได้ ซึ่งเป็นไปตาม ป.วิอาญา

ยกตัวอย่างเช่น หากตำรวจส่งสำนวนฟ้องคดีโดยแจ้งข้อหาผู้ต้องหาว่าเจตนาฆ่า ในชั้นอัยการ เมื่อตรวจสำนวนแล้ว หากอัยการเห็นว่าคดีนี้มีข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน เป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ก็สามารถสั่งให้มีการสอบเพิ่มเพื่อให้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มได้ หรือหากตำรวจส่งสำนวนมาโดยแจ้งข้อหาว่าฆ่าโดยไตร่ตรอง แต่อัยการตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่าพยานหลักฐานทางคดีเป็นเพียง เจตนาฆ่า ก็สามารถสั่งฟ้องเฉพาะข้อหาเจตนาฆ่า โดยสั่งไม่ฟ้องข้อหา เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองได้ เป็นต้น

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และ มาตรา ๒๘๙ มีความแตกต่างกัน คือ

มาตรา ๒๘๘ เป็นการฆ่าคนตายทั่วไปโดยไม่มีเหตุฉกรรจ์

มาตรา ๒๘๙ เป็นการฆ่าโดยเหตุฉกรรจ์ ซึ่งมีโทษหนักคือ ประหารชีวิตสถานเดียว

ส่วนเหตุลักษณะใดที่เข้าข่าย การเจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ชัด ๆ เลยก็คือ มีการคิดล่วงหน้า ไตร่ตรองรอบคอบแล้ว มีการเตรียมการวางแผนมาเพื่อจะสังหารผู้อื่น

หากจะมีการพิจารณาว่า คดีในลักษณะใดจะเข้าข่าย เจตนาฆ่า หรือ เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พนักงานสอบสวนจะต้องพยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป

ขอยกแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยตัดสินคดีไว้ เพื่อให้ได้เห็นภาพที่ชัดเจนกันดีกว่า เพราะเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาแล้ว

กรณีแรก มาตรา ๒๘๙ ฆ่าผู้อื่น เหตุฉกรรจ์

มีเรื่องกับอริ กลับบ้านบอกพ่อ เอาปืนออกไล่ยิงล้างแค้น

คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๑๗/๒๕๕๖

หลังจากจำเลยส่ง ว. แล้ว และกำลังขับรถจักรยานยนต์กลับบ้าน จำเลยพบผู้ตายกับโจทย์ร่วม โจทย์ร่วมขับรถจักรยานยนต์วนไปมาโดยถือเหล็กแป๊ปมาด้วย ย่อมทำให้จำเลยเชื่อว่าผู้ตายและโจทย์ร่วม จะตามมาเอาเรื่องจำเลย กับ ว.

จึงกลับบ้านไปบอกบิดาของจำเลย แล้วนำอาวุธปืนออกมา แสดงว่า จำเลยและบิดาจำเลยเกิดความโกรธผู้ตายและโจทย์ร่วม ตามมาเอาเรื่องจำเลย โดยมีอาวุธมาเพื่อใช้ทำร้าย จำเลยและบิดาจำเลยได้ตอบโต้โดยตระเตรียมอาวุธปืนเพื่อมายิงต่อสู้กับผู้ตายและโจทย์ร่วม

เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จำเลยและบิดาของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ตามไปประมาณ ๒๐๐ เมตร แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและโจทย์ร่วมที่ด้านหลัง โดยที่ผู้ตายและโจทย์ร่วมมิได้ต่อสู้ด้วย

จำเลยและบิดาจำเลย ย่อมมีโอกาสคิดไตร่ตรองทบทวนแล้ว จึงตกลงใจกระทำความผิด หาใช่การกระทำในลักษณะปัจจุบันทันด่วนไม่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

กรณีที่ ๒

แค้นแย่งจีบหญิง พาพวกขนมีด - ปืนบุกบ้านทำร้าย

คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๓๕๐/๒๕๕๖

ผู้เสียหายที่ ๒ มีเหตุบาดหมางกับจำเลยเกี่ยวกับกรณีแย่งผู้หญิง และเคยมีการเจรจาตกลงกัน ในวันเกิดเหตุ จำเลยและพวกตระเตรียมอาวุธปืนและอาวุธมีด เพื่อใช้กระทำความผิดมาล่วงหน้า และตามผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ ที่ผู้เสียหายที่ ๑ เช่า ซึ่งอยู่ในซอยแคบห่างจากถนนใหญ่ประมาณ ๓๐ เมตร แล้วเข้าทำร้ายทันที

แสดงว่าจำเลยยังขุ่นเคืองผู้เสียหายที่ ๒ เกี่ยวกับผู้หญิง และตั้งใจตามหาผู้เสียหายที่ ๒ เพื่อทำร้าย มิใช่ว่าพบโดยบังเอิญแล้วเกิดการทะเลาะวิวาท และทำร้ายทันทีทันใดในขณะนั้น

จำเลย ย่อมมีโอกาสคิดทบทวนล่วงหน้าก่อนที่จะกระทำความผิดแล้ว จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านใช้มีดและปืนเป็นอาวุธฟันและยิงผู้เสียหายที่ ๒ แสดงว่า จำเลยได้วางแผนและตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้เสียหายที่ ๒ มาก่อนแล้ว จำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ ๒ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐาน พยายามฆ่าผู้เสียหายที่ ๒ โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

รับสารภาพ แต่จำนนต่อหลักฐาน อาจไม่ได้ลดโทษ

อีกสักกรณีเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

วางแผนนัดเหยื่อ พาพวกยิงเอาคืนล้างแค้น

คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๑๒๖/๒๕๕๖

ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ ๒ และ ๓ กับพวก ร่วมกันไปทำร้ายร่างกาย ม. ที่ห้องพักของจำเลย โดยใช้อาวุธปืนและมีดจี้ขู่บังคับจำเลยและคนรักของจำเลยไม่ให้ช่วยเหลือ ม. หลังจากนั้น จำเลยโทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายที่ ๒ และนัดหมายให้มาพบที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า เพื่อตกลงกันในเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอพักของจำเลย

หากจำเลยประสงค์จะเจรจากับผู้เสียหายที่ ๒ กับพวก เพื่อยุติเรื่องที่เกิดขึ้น จำเลยก็ควรไปตามที่นัดหมาย กับผู้เสียหายที่ ๒ แต่จำเลยไม่ไปตามนัด กลับโทรศัพท์ให้ผู้เสียหายที่ ๒ ไปพบที่บริเวณสถานีบริการน้ำมันที่เกิดเหตุ

เมื่อผู้เสียหายทั้งสามกับพวกไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบจำเลยกับพวกนั่งอยู่ในรถยนต์ จอดรออยู่ ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสามขับรถจักรยานยนต์ผ่าน จำเลยเปิดกระจกรถและหันไปยิ้มกับผู้เสียหายที่ ๒ และ ๓ โดยไม่มีท่าทีว่า จำเลย ประสงค์จะเจรจาปรับความเข้าใจกับผู้เสียหายที่ ๒ จากนั้น พวกของจำเลยลงจากรถ แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสามทันที

แสดงว่าจำเลยได้คิดวางแผนและไตร่ตรองทบทวนแล้ว ตกลงใจกระทำความผิด โดยนัดผู้เสียหายที่ ๒ ไปยังสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยไปดักรอผู้เสียหายทั้งสามบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายทั้งสามมายังที่เกิดเหตุ พวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทันที การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน

#สำคัญที่สุด คือ

"ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ต้องครบ"

#โดยสรุป คือ

"คดีไหนเป็นฆ่าโดยเจตนา คดีไหนเป็นฆ่าโดยเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน ต้องดูเป็นเรื่อง ๆ ไป โดยขึ้นอยู่กับ ข้อเท็จจริง พยาน และหลักฐานทางคดีเป็นสำคัญ"

ขอบคุณภาพจาก : http://board.postjung.com/965612.html

บันทึกการเข้า

ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ปล่อยวางบ้าง
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: