10 เคล็ดลับขับอย่างประหยัดพลังงาน

1. พยายามขับอย่างนิ่มนวล หลีกเลี่ยงการเร่งและหยุดรถโดยไม่จำเป็น ใช้เกียร์ช่วยในการชะลอความเร็ว การเร่งและชะลอความเร็ว (ระหว่างสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น) เป็นการสิ้นเปลืองน้ำมันควรขับขี่อย่างนิ่มนวล โดยต้องตื่นตัวกับสภาพของท้องถนนและคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับสภาพการจราจร เพื่อจะได้รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นบนถนนข้างหน้า และเพื่อเตรียมพร้อมรับมือทัน

2. เว้นช่วงระยะห่างระหว่างรถของคุณกับรถคันหน้าพอสมควร เพราะถ้าหากคันหน้าเปลี่ยนความเร็ว คุณจะมีช่วงห่างและเวลาพอที่จะถอนเท้าจากคันเร่งหรือเร่งเครื่องได้อย่างนิ่มนวล และค่อยๆขับโดยใช้ความเร็วสม่ำเสมอไปตามการไหลของสภาพจราจร

3. หลีกเลี่ยงการเร่งหรือหยุดรถกะทันหันซึ่งเป็นการลิ้นเปลืองน้ำมัน ลองฝึกโดยสมมุติว่ามีไข่อยู่ระหว่างเท้าของคุณกับคันเร่ง วิธีจะช่วยให้คุณกดคันเร่งอย่างนิ่มนวลขึ้น

4. ถ้ารถคุณไม่ใช่เกียร์อัตโนมัติ ควรเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วรถเพื่อเลี่ยงเสียงไอหรือกระตุก ซึ่งแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานหนัก และการขับลากเกียร์ ( เหยียบตันเร่งแต่ใช้เกียร์ต่ำ) จะเกินน้ำมันมากกว่า

5. บนถนนที่มีทางวิงยาว ให้คุณใช้เกียร์โอเวอร์ไดรฟ์ ถ้ารถคุณมีเกียร์นี้ (มักเป็นเกียร์ห้า) เพื่อช่วยให้เพลาขับเคลื่อนหมุนเร็วกว่าแพลาข้อเหวี่ยงของขับเครื่องยนต์จึงทำให้เครื่องยนต์วิ่งช้าลง ช่วยประหยัดน้ำมัน ลดการสึกหรอและลดอาการเลียงดังของเครื่องยนต์

6. ลดความเร็วเพื่อประหยัดน้ำมัน ถ้าขับ 110 กม./ชม. จะเกินน้ำมันมากกว่าการค่อยๆขับด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. ถึงร้อยละ 25

7. ในเช้าวันที่อากาศสดชื่น ลองขับรถไม่เปิดแอร์แล้วเปิดกระจกรถแทนหากคุณขับรถในเมืองแล้วเปิดแอร์ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว จะสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณร้อยละ 15 แต่ถ้าหากขับด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอ แอร์จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่รถของคุณก็ยังคงสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าการขับโดยปิดแอร์ ร้อยละ 11

8. กำจัดข้าวของในรถบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อที่จะได้ไม่บรรทุกน้ำหนักมากเกินอย่างไม่จำเป็น ซึ่งของท้ายรถมักถูกลืมทิ้งไว้เป็นประจำ

9. คุณสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึงร้อยละ 20 ด้วยวิธีง่ายๆ แค่เพียงเอาน้ำหนักส่วนเกิน เช่น แร็กหลังคา(โครงบรรทุกบนหลังคา) หรือสปอยเลอร์ออกไป ของพวกนี้ต้านลมและทำให้รถยิ่งต้องทำงานหนัก

10. เมื่อไรที่การจราจรติดขัด หรือปล่อยให้เครื่องยนต์เดินนานเกินกว่า 2-3 นาที ควรดับเครื่อง เพราะจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าการสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง

เครดิต reader digest