-/> นิทานเรื่อง แก้วสารพัดนึก ๑๙

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานเรื่อง แก้วสารพัดนึก ๑๙  (อ่าน 282 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 25515
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลเว็บนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลบอร์ดนักเโพสดีเด่นมีความคิดสร้างสรรค์
กระทู้: 2,067
ออฟไลน์ ออฟไลน์
รักทุกคนที่รักเรา รักทุกคนที่เรารัก
   
« เมื่อ: 02 พฤศจิกายน 2567, 04:56:33 AM »

Permalink: นิทานเรื่อง แก้วสารพัดนึก ๑๙





☆นิทานเรื่อง แก้วสารพัดนึก๑๙☆
.  (เมขลาอวตาร๕ กบเลือกนาย)

☆ปางสี่เติมเริ่มต้นปนสงสัย
เจ้าทรามวัยเมขลามารศรี
เกิดเป็นกบภพหนึ่งพึ่งวารี
ในชาตินี้รุมเร้าเศร้าอุรา

☆ยามฝนพรำร่ำร้องทั่วท้องทุ่ง
วิ่งกันยุ่งพลุกพล่านพาลร้องหา
มองหาคู่อยู่ไหนไยมิมา
หลบหนีหน้าหรือแอบแนบใหม่ควง

☆ตะโกนกลบอ๊บอ๊บไม่จบสิ้น
กระโดดดิ้นแด่วแด่วแววหึงหวง
หนุ่มหล่อร้ายกายล่ำขอย้ำทวง
คิดเป็นห่วงบ้างไหมใครเขารอ

☆ชะโงกหน้าตาถลนก่นเสียงกู่
ยู่ฮู้ฮูให้ควั่กรักมากหนอ
เงียบฉี่เลยเคยเคล้าพะเน้าคลอ
ปล่อยให้พ้อถึงพี่นี่กระไร

☆ลืมหรือยังครั้งก่อนตอนฝนตก
น้องงันงกหนาวสั่นกว่าวันไหน
พี่พร่ำพรอดยอดรักปักฤทัย
น้องทรามวัยซึมซับกับน้ำตา

☆ความผูกพันนั้นเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย
ไม่เคยเหนื่อยรักเลยที่เคยหา
เพราะเจอแล้วแก้วฤดีคือพี่ยา
เหมือนดั่งฟ้าประทานหวานอารมณ์

☆ทุกวันคืนชื่นฉ่ำน้ำฝนพร่าง
จันทร์กระจ่างคราใดใจสุขสม
พี่ชวนน้องสองเราเฝ้าชี้ชม
ลุยโคลนตมชื้นแฉะไม่แกะกาย

☆ดิ้นขลุกขลักทุลักทุเลดูเท่ห์มาก
หัวเราะก๊ากเป็นปลื้มมิลืมหาย
มุดซอกซอนย้อนซุกสุขสบาย
แหวกธารสายหญ้าพงทั่วดงดอน

☆เถลือกถลนขนไชไม่ถลอก
ทั่วหน่อหนอกร่างกายหลายโขดขอน
ปล่อยน้ำเมือกเกลือกกลั้วกลิ้งตัวนอน
เฝ้าตะลอนแถไถลไพรพนา

☆เก็บดอกไม้ไขว้หูจนดูแน่น
ต้องคาบแทนด้วยปากมากสรรหา
เสพสุขสองร้องลั่นพรรณนา
จนท้องฟ้าหมดฝนเทล้นใจ

☆แล้วลืมวันกันลงหรือปลงแล้ว
ทิ้งน้องแก้วเหว่ว้ากล้าไฉน
โกนหัวบวชชวดชมขมหทัย
อยู่วัดไหนกันเล่าเศร้าเหลือดี

☆เสียงขลักขลุกจุ๊กกรู้หูข้างซ้าย
พอเหลียวกายถูกหอมแล้วอ้อมหนี
อ้อ..พ่อหนุ่มตุ่มหล่อยืนรอรี
เที่ยวไหนนี่เพิ่งมาท่าเว้าวอน

☆พี่งับปลาอาหารคลานมาฝาก
ด้วยรักมากจริงใจใช่หลอกหลอน
มีน้องซึ้งหนึ่งแน่แค่บังอร
โฉมสมรของพี่อย่าบีฑา

☆ภิรมย์สุขคลุกเคล้ากบสาวหนุ่ม
ทุกวันชุ่มฉ่ำรักเป็นนักหนา
เร่งเร้ารุกสุขสันต์วันเวลา
มินานช้าลูกหลานคลานเรียงกัน

☆อาศัยซึ่งบึงใหญ่ในป่ากว้าง
แลสล้างเย็นชื่นรื่นเขตขัณฑ์
ทั้งญาติมิตรชิดเชื้อเกื้อเผ่าพันธุ์
คืนและวันเลื่อนผ่านสำราญดี

☆ปลาอมิตรคิดร้ายหมายพิฆาต
อาละวาดจับกินถิ่นวิถี
งาบงับถูกลูกน้อยลอยวารี
มิอาจหนีหลีกหลบจบชีพวาร

☆ซ้ำวันนี้ที่แย่มีแม่ปลา
ไม่รู้มาจากไหนไกลถิ่นฐาน
มุดแผ่นดินดิ้นโผล่โชว์เหงือกบาน
กินลูกหลานเกือบหมดสลดใจ

☆จึงผนวกพวกพร้อมล้อมวงแห่
ทั้งฆ้องแตรตีกลองมองตาใส
เทวะจ๋าฟ้าสวยช่วยห่วงใย
เถอะส่งใครปกป้องโปรดมองมา

☆เทวดาครายินตอนบินตรวจ
เขตสำรวจปกปักอารักษ์ขา
เห็นฝูงกบหลบร้อนวอนพึ่งพา
จึงหันคว้าขอนไม้ให้หนึ่งลำ

☆บอก..นี่แนะกบน้อยจงคอยหลบ
ปลาไล่ขบยามใดไม่ถลำ
แอบตัวนอนขอนใหญ่มิใช่ดำ
ปลาว่ายล้ำจึ่งจรใช้ซ่อนกาย

☆ค่อยลงน้ำตามเดิมเพิ่มขอนให้
จำเอาไว้นะเจ้าเศร้าจงหาย
ทั้งป้องปกนกกาค่ามากมาย
จะไม่ตายแน่นอนลาก่อนเอย

☆กบได้ฟังดังนั้นพลันบอกต่อ
บุญคุณพ่อเทวดามาเฉลย
ระลึกจำคำวาดไม่พลาดเลย
ลูกหลานเอ๋ยเรียนรู้อยู่ร่วมกัน

☆หลบทุกทีวี่วันมันเหน็ดเหนื่อย
หนีอยู่เรื่อยเจ่าจุกทุกข์หมันต์
เทวะรู้อยู่ไหนให้ช่วยพลัน
ร้องกระชั้นเซ็งแซ่แย่เหลือเกิน

☆เทวาเห็นเช่นนั้นพลันงานยาก
ช่างเรื่องมากแน่ไซร้ไม่ขัดเขิน
เอาแต่ขอรอจ้องมองเพลิดเพลิน
ไยจึงเมินไม้ขอนที่หย่อนไป

☆ส่งกระสาถลาว่อนร่อนมาช่วย
ฝูงปลาม้วยกลาดเกลื่อนตามเงื่อนไข
มินานช้าปลาหมดลดเภทภัย
แหล่งน้ำใสสิ้นปลามารบกวน

☆ฝูงนกน้อยลอยฟ้าใครกล้าแหยม
กระสาแฮ่มร้องไล่ไม่คืนหวน
หากินไกลไปลับมิกลับทวน
ฝูงกบล้วนดีใจไร้กังวล

☆เพียงสุขได้ไม่นานพาลหมดปลื้ม
เพราะว่าลืมนึกไปใจสับสน
กระสาลิ้นกินเนื้อเพื่อร่างตน
ให้หลุดพ้นความหิวทั่วริ้วกาย

☆ขาดทั้งปลาหานกก็อกหัก
อาหารหลักคือกบจบความหมาย
กระสาเพลินเดินกินชีวินวาย
กบล้มตายสูญพันธุ์ถึงบรรลัย

☆นี่แหละหนอขอกันฝันจะสุข
กลับรับทุกข์ตามมาพาตักษัย
อ่านแล้วคิดสิทธิ์นั้นอันเป็นไป
เพียงแค่ไหนจึงพอต่อชีวา

☆นักปกครองตรองดูให้รู้ซึ้ง
มีหรือหนึ่งคนดีที่ใฝ่หา
เลือกขอนไม้ไร้แสงแห่งศรัทธา
หรือกระสาปากงอโก่งคอกิน.

                    เริงอักษร


บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: