-/> รู้ไว้ไม่ตกเป็นเหยื่อ !? ..."9 สิ่งห้ามโพสต์ลงโซเชียล"

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดอาชีพรู้กฎหมาย คลายปัญหา (ผู้ดูแล: พรหมพิพัฒน์)รู้ไว้ไม่ตกเป็นเหยื่อ !? ..."9 สิ่งห้ามโพสต์ลงโซเชียล"
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้ไว้ไม่ตกเป็นเหยื่อ !? ..."9 สิ่งห้ามโพสต์ลงโซเชียล"  (อ่าน 1705 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ดูแลเรื่องกฏหมายของเว็บ
คะแนนน้ำใจ 1010
กระทู้: 130
ออฟไลน์ ออฟไลน์
อีเมล์
   
« เมื่อ: 26 มีนาคม 2559, 08:53:03 PM »

Permalink: รู้ไว้ไม่ตกเป็นเหยื่อ !? ..."9 สิ่งห้ามโพสต์ลงโซเชียล"
 

รู้ไว้ไม่ตกเป็นเหยื่อ !? ..."9 สิ่งห้ามโพสต์ลงโซเชียล"

ในวันที่อินเทอร์เน็ตเปรียบประหนึ่งลมหายใจ สมาร์ทโฟนและไอแพดไม่ต่างจากอวัยวะที่ 33 ของร่างกาย แต่ละวันทุกคนนิยมถ่ายรูป คลิปวีดีโอ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ไลน์ เพื่อความบันเทิง การงาน และสนองตัณหาส่วนตัว

จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเหล่าอาชญากร มิจฉาชีพ วายร้ายจำนวนไม่น้อย ใช้ช่องทางในการหา "เหยื่อ" ผ่านทางโลกออนไลน์กันแล้ว

จึงขอนำสิ่งห้ามโพส์ตลงโซเชียลมาบอกเพื่อกระตุกเตือนให้ผู้ใช้งานสังคมออนไลน์หันมาระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้นครับ

1. บัตรประจำตัวประชาชน

ทุกวันนี้ "เลขบัตรประชาชน 13 หลัก" มักจะถูกนำไปใช้ในการทำเรื่องสำคัญๆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสมัครบัตรเครดิต บัตรเดบิต ขอสินเชื่อ เปิดบัญชีธนาคาร เสียภาษี สมัครงาน และทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงิน

บัตรประชาชนถือเป็นเอกสารสำคัญที่จะมีข้อมูลบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ นามสกุล ปีเกิด เลขที่ 13 หลัก ถ้าคนร้ายได้ไปก็สามารถนำไปเป็นสำเนาในการสมัครบัตรเครดิต เปิดใช้โทรศัพท์มือถือ ร้ายกว่านั้นคือ ทำการเปลี่ยนแปลงรูปถ่ายเป็นหน้าของบุคคลอื่น เพื่อใช้ยืนยันตนเอง

"ในที่สุด เจ้าของบัตรก็จะเดือดร้อน อันเนื่องจากการกระทำของคนร้าย ทางที่ดีที่สุดไม่ควรนำภาพถ่ายบัตรประชาชนลงในโลกโซเชียลมีเดียโดยเด็ดขาด"

2. ภาพถ่ายหรือข้อมูลของบุตรหลาน
หลายครั้งที่เรานำภาพถ่ายของลูกหลานมาแชร์ให้คนอื่นเชยชมความน่ารัก แต่อีกด้านหนึ่งอาจเสี่ยงที่จะมีคนร้ายจะจดจำหน้าตา หรือข้อมูลบางส่วนมาใช้ในการนำภาพไปขอรับบริจาค ขอทาน ถึงขั้นลักพาตัว

ดังนั้นจึงไม่ควรโพสต์ชื่อเด็ก หรือโรงเรียนของเด็กเป็นชื่อจริงทั้งหมด

"เดี๋ยวนี้พ่อแม่มักทำให้ลูกตัวเองเป็นเหมือนดารา ลูกน่ารักก็อัพวีดีโอคลิป จริง ๆ ไม่ควรเลย ไม่ใช่ผิดกฎหมายหรือละเมิดสิทธิ์เด็กอย่างเดียว แต่เป็นกฎระเบียบที่เฟซบุ๊กระบุไว้ว่าห้าม แต่คนไทยไม่ค่อยอ่าน อันที่จริงเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ไม่ควรเข้าเล่นโซเชียลมีเดียด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่า ทุกวันนี้มีเด็กโกงอายุ โกงวันเดือนปีเกิดไปสมัครจดทะเบียนเข้าใช้เฟซบุ๊ก อินสตาแกรมกันเยอะแยะมากมาย โดยที่ผู้ปกครองปล่อยปะละเลย น่ากลัวตรงที่ว่าเด็กมีความเสี่ยงจากการถูกล่อลวงได้ง่าย"

3.ตั๋วเครื่องบิน

"ตั๋วเครื่องบิน" อาจดูเหมือนไม่มีข้อมูลอะไรที่เสี่ยงและน่าวิตกกังวลเท่าไรนัก แต่สำหรับอาชญากรหัวกะทิแล้ว ตั๋วเครื่องบิน หรือบอร์ดดิ้งพาส เปรียบเสมือนกุญแจทองคำไขเข้าไปสู่บ้านของคุณได้อย่างดีทีเดียว

ไม่ว่าจะข้อมูลบนบัตร เช่น ชื่อนามสกุล จุดเริ่มต้นของการเดินทาง จุดหมายปลายทาง และบาร์โค้ด สามารถถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของเรา ทั้งยังอาจเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทางของเราได้อีกด้วย คำแนะนำคือ นักท่องเที่ยวฉีกตั๋วทิ้งหรือเอาไปใส่เครื่องทำลายเอกสารหลังการใช้งานจะดีเสียกว่า

"การบอกคนอื่น ๆ ในโลกโชเชียลว่าจะเดินทางไปไหน ด้วยการโชว์ตั๋วเครื่องบิน อาจเป็นเรื่องที่สร้างความสนุกสนาน แต่ในแง่ร้ายคือ คนร้ายจะทำการใช้โปรแกรมตรวจจากบาร์โค้ดของตั๋วเครื่องบิน ทำให้เห็นถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้เดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเดินทางไปไหนมาไหน ใช้บัตรเครดิตยี่ห้อใดซื้อตั๋วเครื่องบิน และเลวร้ายที่สุดคือ คนร้ายสามารถสั่งยกเลิกตั๋ว หรือเห็นตัวเลข 4 หลักของบัตรเครดิตซึ่งจะไปสวมรอยใช้บัตรเครดิตได้"

4. เช็คอินสถานที่
ในวันที่เหล่าอาชญากรสมัยใหม่หันมาอาละวาดในโลกออนไลน์ ข้อมูลจากเว็บไซต์ Distinctivedoors.co.uk ซึ่งทำการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดอาชญากรรมในปัจจุบันพบว่า โจรกว่า 75% ใช้การค้นหากลุ่มเป้าหมายผ่านทางโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ โฟร์สแควร์ รวมทั้งโปรแกรมสุดไฮเทคอย่าง Google Street View

พูดง่าย ๆ ว่า ค้นหาตำแหน่งบ้านที่พักอาศัยของเหยื่อได้อย่างสะดวกโยธิน โดยไม่จำเป็นต้องมาเฝ้าดูลาดเลาด้วยซ้ำ เมื่อบวกกับทรัพย์สินมีค่า เช่น โทรทัศน์ เครื่องเล่นดีวีดี ชุดเครื่องเสียงสุดหรูในห้องรับแขกที่เคยโพสต์อวดเพื่อน ๆ สร้อยคอเพชรนิลจินดา รถยนต์ ก็ล่อตาล่อใจโจรได้ไม่น้อย ที่สำคัญหากคุณเช็คอินตลอดเวลา อยู่ไหน ไปที่ไหน ทำให้มิจฉาชีพรู้ว่าไม่อยู่บ้าน หรือกำลังจะกลับ ถือเป็นเรื่องเสี่ยงสุด ๆ

5. ด่าองค์กร
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนส่วนใหญ่จะเบื่อหน่ายงานที่กำลังทำอยู่ แต่กฎเหล็กที่หลายคนมักมองข้ามคือ อย่าโพสต์ข้อความเชิงลบที่แสดงความไม่พอใจต่อบริษัทตัวเอง แม้ไม่ผิดกฎหมายแต่อาจถูกไล่ออกจากงานได้

"ไม่ควรโพสต์ด่า หรือวิพากษ์วิจารณ์องค์กรเป็นอย่างยิ่ง เพราะกฎหมายไม่อนุญาต สามารถไล่ออกได้ เพราะถือเป็นการหมิ่นประมาท วิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความเสื่อมเสีย อีกข้อที่หลายคนอาจไม่รู้คือ คุณไม่มีสิทธิ์โพสต์ข้อมูลความลับของบริษัทตัวเอง เช่น วันหยุดของที่ทำงาน เงินเดือน โบนัส เนื่องจากโปรเจกต์ต่าง ๆ เหล่านี้ต่าง ๆ อาจเป็นความลับทางธุรกิจอยู่ก็ได้"

6. ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป

ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด และอีกมากมายสารพัด ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยในโลกออนไลน์ อย่าลืมว่าการขโมยอัตลักษณ์บุคคล หรือ Identity Theft ไม่ได้มีแต่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเท่านั้น ทว่ากำลังสร้างปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย

อะไรก็ตามเป็นข้อมูลประวัติพื้นฐาน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรนักศึกษา ใบขับขี่ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด ที่ทำงาน สมาชิกครอบครัว ข้อมูลทางการแพทย์ เบอร์โทรศัพท์ ฯลฯ ไม่ควรเผยแพร่ลงบนสื่อออนไลน์อย่างเด็ดขาด

"ข้อมูลพื้นฐานส่วนตัวเหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของอาชญากรรม เป็นการขโมยอัตลักษณ์บุคคล ข้อมูลเหล่านี้เราอาจจะไว้ใช้สำหรับล็อกอินเฟซบุ๊ก เช็คอีเมล อาจเดารหัสผ่านได้จากวันเดือนปีเกิด เลขบัตรประชาชนหรือเลขประจำวันนักศึกษา บางคนถ่ายรูปในชุดข้าราชการในวันรับตำแหน่งใหม่ กลับเจอสวมรอย หรือนำไปแอบอ้างแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ บางคนโพสต์มันเสียทุกเรื่อง ประวัติ งาน ชอบทำอะไร ที่ไหน รสนิยม ร้านอาหารโปรด พ่อแม่พี่น้อง ที่อยู่บ้าน ที่ทำงาน ท้ายที่สุดมิจฉาชีพจะนำข้อมูลทั้งหมดนี้แหละไปใช้"

7. โจมตีผู้อื่น
ข้อมูลอันน่าตกใจจากกองบังคับการกองปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ระบุว่า ปัจจุบันเรื่องที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ คดีเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทต่อบุคคล ในลักษณะการโพสต์ข้อความต่อว่ากันไปมาระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ด้วยคำพูดหยาบคายรุนเเรงเเละเป็นเท็จ ทำให้เกิดความเสียหาย เข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทและมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเเละปรับไม่เกิน 1 เเสนบาท

"ส่วนมากจะเป็นพวกคอนเมนต์จนเกินขอบเขต สนุกบนความทุกข์ของคนอื่น โพสต์ทั้งข้อความ รูปภาพ คลิปวีดีโอในลักษณะการบิดเบือนข้อมูล ตัดต่อภาพ อะไรก็ตามที่เป็นเท็จ ทำให้ผู้อื่นเสียหาย คดีแบบนี้ต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ หากทำครั้งเดียวอาจจะไม่ชัด แต่หากทำหลายครั้ง ต่อเนื่อง จนจับใจความได้ว่ามีเป้าหมายสื่อถึงใครหรือต้องการโจมตีทำร้ายใคร แบบนี้มีความผิด"

8. อย่าดราม่า

รู้หรือไม่ว่าการโพสต์ระบายอารมณ์ ระบายความในใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจทำลายมิตรภาพลงได้ในพริบตา

ไม่ควรโพสต์อะไรที่ "ดราม่า" เช่น กำลังมีปัญหาครอบครัว ทะเลากับสามี พ่อแม่ หรือมีปัญหาในที่ทำงาน เจ้านายตำหนิ เพื่อนร่วมงานนินทา เวลาโพสต์เรื่องราวเหล่านี้อาจจะโพสต์ลงไปในลักษณะอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ทันยั้งคิด และมักจะโพสต์ด่าลอย ๆ หรือเป็นบุคคลนิรนาม แต่เราอาจมีเพื่อนเยอะมากและกำลังคิดว่าคุณด่าเขาหรือเปล่า จนอาจเกิดการวิตกจริตคิดไปเองทำให้นำไปสู่ความหวาดระแวง กระทบกับความสัมพันธ์ได้

9. ภาพวาบหวิวอนาจาร

ฝากเตือนไปยังสาว ๆ (และหนุ่ม ๆ) ว่า อย่าโพสต์ข้อมูลส่วนตัวจำพวกภาพถ่ายของตัวเองในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ภาพโป๊เปลือย อนาจาร

"เพราะต่อให้คุณไม่ใช่ดารา ในที่สุดอาจมีคนเจตนาร้ายบันทึกภาพเหล่านั้นเอาไว้ ต่อให้คุณลบไปแล้ว มันก็ยังคงอยู่ หรืออาจส่งผลกระทบของคุณในที่ทำงาน เช่น เจ้านายของคุณอาจจะมาเห็น หรือลักษณะวาบหวิวเซ็กซี่มากเกินไป อาจโดนพวกโรคจิตตามรังควาน ถึงขั้นหมายปองจะข่มขืน"

ที่มา : http://www.posttoday.com/digital/396329

ขอบคุณภาพจาก : shutterstock.com

http://www.trueplookpanya.com/…/cms…/general_knowledge/23793
รูปภาพของ บุญชู คนซื่อ

บันทึกการเข้า

ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ปล่อยวางบ้าง
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: