-/> ลูกเดือย เม็ดเล็กๆ ที่มองข้าม แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดสุขภาพกินเพื่อสุขภาพ (ผู้ดูแล: หมอจุ๋ม จุ๋มจิ๋ม จิ๋มจุ๋ม)ลูกเดือย เม็ดเล็กๆ ที่มองข้าม แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ลูกเดือย เม็ดเล็กๆ ที่มองข้าม แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก  (อ่าน 1545 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คะแนนน้ำใจ 4206
เหรียญรางวัล:
ผู้ดูแลบอร์ดนักโพสดีเด่น
กระทู้: 681
ออฟไลน์ ออฟไลน์
   
« เมื่อ: 07 เมษายน 2557, 12:01:41 AM »

Permalink: ลูกเดือย เม็ดเล็กๆ ที่มองข้าม แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก


ลูกเดือย เม็ดเล็กๆ ที่มองข้าม แต่คุณประโยชน์ไม่เล็ก


หลายคนคงรู้จักลูกเดือยที่มีหน้าตาเป็นเม็ดเล็กๆ กลมๆ แต่ถึงแม้ว่า
จะมีขนาดเล็ก และเป็นส่วนหนึ่งในขนมหวานหลายชนิด แต่ลูกเดือยกลับให้คุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะมีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยบำรุงกำลัง บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ แก้ปัญหาทางเดินหายใจ ไขข้อกระดูก เหน็บชา แก้ร้อนในกระหายน้ำ และยังช่วยลด
การเกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (Coxenolide) ซึ่งมีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิด
เนื้องอก ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าลูกเดือยนั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย


ลูกเดือย เป็นธัญพืชประเภทคาร์โบไฮเดรตเดือยเป็นพืชพื้นเมืองแท้ๆของเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเส้นใยอาหารสูง เป็นพืชตระกูลเดียวกับข้าว โดยมีลักษณะเป็นเม็ดสีขาว เม็ดจะออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรค เหน็บชาด้วย ลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การ อนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา มีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก    : นิตยสาร woman plus
ขอบคุณภาพประกอบจาก :  อินเตอร์เน็ต





บันทึกการเข้า




หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: