-/> ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด  (อ่าน 2546 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,135
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 19 เมษายน 2560, 09:20:54 AM »

Permalink: ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด


ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด
พืชพันธุ์ตามธรรมชาติทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องดีๆ แต่ที่จริงแล้ว ก็ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป
 ถ้าเราได้รู้ความจริงบางอย่างของน้ำมันพืชที่ทุกวันนี้หลับหูหลับตาใช้ประกอบอาหารกันเป็นหลักอยู่ในครัว
 ทั้งที่แต่ก่อนแต่ไรประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบนี้ ในครัวปู่ย่าตายายของเราเคยใช้แต่น้ำมันหมูปรุงอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยมาตลอด
 กี่ร้อยปีมาแล้วที่ไม่เคยต้องเผชิญกับโรคต่างๆ เช่น โรคความดัน เบาหวาน หัวใจ หรือ ไตวาย  จนกระทั่งในยุคนี้
                            ย้อนกลับไป เมื่อสมัยผมเป็นเด็ก ยังไม่มีอุบัติการณ์ของโรคต่างๆ ที่กล่าวมามากมายเหมือนวันนี้ ที่หากใครสักคน
เป็นมะเร็งขึ้นมานั่นถือว่าได้รับเกียรติ โด่งดังกันไปทั้งตำบลเลยทีเดียว แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น
 เมื่อประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลกในสมัยที่ประเทศของเขายังเลี้ยงปศุสัตว์อยู่มาก
 และต้องปลูกถั่วเหลืองเพื่อนำมาทำอาหารสัตว์เป็นจำนวนมากเช่นกัน ปัญหาในขณะนั้น คือในถั่วเหลืองมีน้ำมันมากเกินไป
เมื่อให้สัตว์กินแล้วจะทำให้ไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์มีคุณภาพต่ำไม่ได้คุณภาพของเนื้อตามที่ตลาดต้องการ
                            เพราะฉะนั้น เลยมีคนหัวใสใช้วิธีรีดน้ำมันออกจากถั่วเหลืองทิ้งไปก่อนแล้วถึงจะนำกากที่เหลือไปให้สัตว์กิน
 ถั่วเหลืองที่ถูกรีดน้ำมันออก พอนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ก็จะทำให้ไขมันเลวที่แทรกในเนื้อลดลง แต่น้ำมันถั่วเหลืองซึ่งรีดออกมา
แล้วก็จะมีเหลือทิ้งอยู่เยอะแยะ น้ำมันถั่วเหลืองเหล่านี่ก่อให้เกิดเป็นปัญหามลพิษระดับประเทศ เพราะไม่รู้จะเอาไปทิ้งที่ไหน
 เดือดร้อนถึงคนหัวใสที่ไม่ประสงค์ดี จัดการแปลงน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อไม่ให้เหม็นหืนด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุล
 หรือที่เรียกว่า “โฮโมจีไนซ์” คือ การใส่ไฮโดรเจน ลงไปทำปฏิกิริยากับน้ำมันพืช เพราะเมื่อน้ำมันถั่วเหลือง
 ทำปฏิกิริยากับไฮโดรเจนเรียบร้อยแล้ว ก็จะไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนอีกต่อไป จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยไม่เหม็นหืน
                            จากนั้นก็สู่ขบวนการปั้นเสริมเติมแต่ง ด้วยหลักการโฆษณาสรรพคุณ โดยการนำน้ำมันหมูกะน้ำมันพืช
 มาใส่ตู้เย็นคู่กัน  โดยให้เห็นว่าน้ำมันหมูเป็นไข น้ำมันพืชไม่เป็นไข แต่ยังคงใสแจ๋ว พร้อมตั้งคำถามออกมายังผู้บริโภคว่า
 จะยอมให้ร่างกายของเรารับน้ำมันหมูที่เป็นไขแบบนี้ เข้าสู่ร่างกายอีกหรือ ด้วยเหตุนี้การหันมานิยมบริโภคน้ำมันพืชในครัวไทยก็มีกันตั้งแต่นั้นมา
                            “แต่ความจริง ..นั่นเป็นเพียงการโฆษณา ลองนึกดูว่าในร่างกายของมนุษย์มีอุณหภูมิ 37 องศา
 ถ้าเปรียบตู้เย็นเป็นร่างกายเรา ก็ต้องเอาตู้เย็นที่ทำให้ได้อุณหภูมิปกติของคนเราที่ 37 องศา และก็โชว์เลยว่า น้ำมันหมู ก็ยังเป็นไข
 ไม่ใช่ใช้ตู้เย็นที่ทำอุณหภูมิแค่ 5 องศา แล้วมาโชว์ให้ดูว่าน้ำมันหมูเป็นไข เพราะถ้าร่างกายมีอุณหภูมิเท่ากับ 5 องศาอย่างตู้เย็น ป่านนี้ก็คงตายกันไปแล้ว”

                            นอกจากน้ำมันหมูจะอร่อยกว่าโดยธรรมชาติแล้ว ร่างกายมนุษย์ก็มิวิธีการกำจัดออกได้โดยอัตโนมัติ
เพราะว่าเป็นน้ำมันหมูจากธรรมชาติซึ่งร่างกายรู้จักดี เนื่องจากได้พัฒนาระบบย่อยมานานกว่าล้านปี แต่กับน้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีนั้น
 ร่างกายมนุษย์ ไม่เคยรู้จัก จึงไม่มีวิธีการนำไปใช้หรือแม้แต่กระทั่งวิธีการขจัดน้ำมันพืชเหล่านั้น ให้ออกจากร่างกายไปได้
 ร่างกายจึงรักษาตัวเองด้วยวิธี “รักษาตามอาการไปก่อน” โดยการนำไปทิ้งไว้ในหลอดเลือด
เพราะพื้นที่ทั้งหมดของเส้นเลือดในร่างกายมนุษย์ที่โตเต็มวัย สามารถนำมาแผ่เพื่อคลุมสนามบาสได้ทั้งสนาม
 ถือว่าเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุดในร่างกายมนุษย์
                            เมื่อกำจัดไม่ได้ ร่างกายก็เลยเอาไปใว้ในเส้นเลือด เพราะไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน พอกินเติมเข้าไปอยู่เรื่อยๆ สักวัน
เส้นเลือดซึ่งมีพื้นที่ขนาดนั้นก็เอาไม่อยู่ ในที่สุดเกิดเป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือดจากน้ำมันพืช  เป็นโรคอันเกิดจากสิ่งที่ร่างกายไม่สามารถขจัดออกไปได้ 
             “น้ำมันหมูสามารถเก็บได้นานเพราะไม่เหม็นหืนเนื่องจากเป็นไขมันที่อิ่มตัวอยู่แต่แรกแล้ว จึงไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนให้เกิดกลิ่นหืนได้อีก”
                            การบริโภคกรดไขมันอิ่มตัว จะเกิดอันตรายต่างๆ นานากับร่างกายตามที่ว่ากันไว้ จริงหรือไม่ ?
 ขอตอบว่าไม่จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันแบบไหน ถ้ามาจากธรรมชาติ ก็ล้วนแล้วแต่ให้ประโยชน์กับร่างกายได้ทั้งสิ้น เพราะไขมัน
 เป็นหนึ่งในอาหารหลักห้าหมู่ของมนุษย์ แต่ในทางตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันแบบไหน ถ้าผ่านการดัดแปลงมาแล้ว
ก็ล้วนแต่ไม่ดีกับร่างกายทั้งสิ้นเช่นกัน แถมกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เอามาโฆษณาขายกัน ก็เป็นกรดไขมันสังเคราะห์
แถมผ่านกรรมวิธีต่างๆ มาแล้วอีกต่างหาก ซึ่งทำให้ร่างกายของเราขจัดทิ้งไม่ได้ตามวิธีการธรรมชาติ
                            อีกอย่างหนึ่งที่บอกว่า น้ำมันพืช มีกรดโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 ไลโนเลอิก อะไรต่างๆ มากมาย
ซึ่งฟังดูชื่อแปลกๆ ก็น่าสนใจดี แต่จงทราบไว้เถอะว่า กรดอะไรต่างๆ ที่ว่านั้นร่างกายของเราไม่สามารถนำไปใช้ได้แบบเดี่ยวๆ
 ต้องนำไปใช้ร่วมกับอะไรอย่างอื่นที่มากันตามธรรมชาติอีกมากมาย แค่โอเมก้า6 อย่างเดียว
 ถ้ากินเดี่ยวๆ จะไม่ได้คุณประโยชน์แถมเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย
 

 
ที่มา คม ชัด ลึก

บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,135
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« ตอบ #1 เมื่อ: 19 เมษายน 2560, 09:26:53 AM »

Permalink: Re: ทำไมถึงบอกว่า 'น้ำมันหมู' ดีที่สุด
มากิน"น้ำมันหมู"กันเถอะ..
ตั้งแต่เด็กๆ ที่บ้านจะเจียวน้ำมันหมูกิน และ"กากหมู" ที่เหลือจากการเจียวน้ำมัน ก็เป็น"อาหารโปรด"ของผม ..
มีข้าวสวยร้อนๆโรยกากหมู แล้วราดด้วย"ซีอิ๊วขาวเมืองตรัง" ที่เราเรียกว่า"เฉียวเฉ้ง"...แค่นี้ก็สุดยอด
คนไทยกิน"น้พมันหมู"กันทุกบ้าน

ต่อมา เมื่อมี"น้ำมันพืช" ที่บรรจุขวดสะดวก และตารมมมาด้วย"โฆษณา"ที่น่าจะถูกหลอกต่อกันมา
ทำให้คนไทยมากมายเลิกเจียวน้ำมันหมู หันมาใช้น้ำมันพืช ..
เลิกกินด้วยเหตุผลเดียว..น้ำมันหมูมีคอเรสเตอรอล

ล่าสุด ...นิตยสาร TIME ของสหรัฐอเมริกา ได้เผยบทความเกี่ยวกับ “ความจริงของคอเรสเตอรอล”
 ที่ทุกคนเข้าใจผิดมาตลอด 60 ปีว่าคอเรสเตอรอลเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดหลอดเลือดหัวใจและสมองนั้น ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป
TIME ระบุว่า คอเรสเตอรอลไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อร่างกาย แถมยังมีประโยชน์อีกมากมายด้วย
บทความนี้ช็อควงการแพทย์ทั่วโลกเลยทีเดียว !!!

บทความของ TIME ระบุว่า ตัวการที่แท้จริงคือ “ไขมันทรานส์” ซึ่งเป็นไขมันผิดธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาผ่านกรรมวิธีของมนุษย์
ซึ่งจะพบอยู่ใน น้ำมันพืช น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันทานตะวัน น้ำมันรำข้าว ที่มีไขมันไม่อิ่มตัว โดยผ่านกรรมวิธีเติมไฮโรเจน
เพื่อให้สามารถใช้ในการทอดได้ที่ความร้อนสูงๆ จนเกิดเป็นสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกาย
ไขมันตัวนี้แหละที่ส่งผลให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งอีกด้วย

ส่วนประโยชน์ของ “คอเรสเตอรอล” ได้แก่...
1. ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ที่ใช้จัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวัน และฮอร์โมนนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็งด้วย
2. จำเป็นต่อการผลิตฮอร์โมนเพศ
3. ใช้คู่กับวิตามินดี เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย กระดูก เส้นประสาท กล้ามเนื้อ การเผาผลาญอาหาร การผลิตอินซูลินและภูมิคุ้มกันร่างกาย
4. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสียหายไปยังเนื้อเยื่อ
5. อยู่ในนมแม่ เป็นส่วนช่วยในการพัฒนาสมอง ระบบประสาท และภูมิคุ้มกันของเด็กทารก
6. เป็นส่วนประกอบในการสร้างน้ำดีในตับ น้ำดีมีความสำคัญต่อกระบวนการย่อยอาหารและการดูดซึมของไขมัน
7. จำเป็นสำหรับการทำงานของลำไส้และรักษาความสมบูรณ์ของผนังลำไส้ หากคอเลสเตอรอลต่ำอาจนำไปสู่โรคลำไส้รั่วและปัญหาทางเดินอาหาร
8. มีส่วนช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย นี่คือเหตุผลที่คอเรสตอรอลของคนสูงอายุถึงมีค่าสูง เพราะมันมีประโยชน์ต่อคนสูงอายุ
คงมีหลายคนอาจจะอยากกิน"กากหมู"กับข้าวสวยร้อนๆแล้วล่ะสิ

ข้อมูลอ้างอิง fxdio | time

ขอบคุณที่มา เฟชบุ๊กของ พี่ชาย  Chai Seeho
บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: