-/> มะเร็ง.....ไม่ใช่โทษประหารชีวิต

หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: มะเร็ง.....ไม่ใช่โทษประหารชีวิต  (อ่าน 1625 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,132
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 06 กรกฎาคม 2560, 07:34:54 PM »

Permalink: มะเร็ง.....ไม่ใช่โทษประหารชีวิต


คนทั่วโลกเป็นมะเร็งกันมากขึ้น....ประเทศไทยก็ไม่พ้นจากกระแสโรคเหล่านี้
...สมภารวัดชื่อดังรูปหนึ่ง  ปรารถให้ผมฟังว่า  ศพที่ไปฌาปนกิจที่เมรุเผาศพที่วัดของท่านประมาณ ๕๐% เสียชีวิตจากมะเร็ง
 ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วที่ท่านมาบวชใหม่ๆ  “สมัยก่อนศพมะเร็งมาเผาที่วัด  มีซัก ๑๐-๒๐% เท่านั้นเอง  
ตอนนี้เพิ่มขึ้น ๒-๓ เท่า  บางศพอายุยังน้อยอยู่เลย  แค่ ๒๐ ปีกว่าก็มี”

....หน่วยราชการแห่งหนึ่ง  ก่อตั้งมาได้ประมาณ ๑๐ ปีเศษ  มีพนักงานประมาณ ๓๐ คน  อายุอยู่ระหว่าง ๓๐– ๕๕ ปี
ใน ๓ ปีแรก  ไม่มีใครเจ็บป่วยจากมะเร็ง
ใน ๓ ปีที่สอง  มีคนเป็นมะเร็ง ๑ คน  ตอนนี้ยังรักษาตัวอยู่
ใน ๓ ปีสุดท้าย  มีคนเป็นมะเร็ง ๓ คน  ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ๒ คน
ฝรั่งเรียกมะเร็งว่า Cancer หรือบางทีพวกหมอก็เรียกกันย่อๆว่า Big C
ศัพท์ละตินทางการแพทย์เรียกว่า Malignancy  คนในแต่ละทวีป ภูมิภาค ประเทศ
จะมีอุบัติการณ์ของการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่แตกต่างกันไป  เพราะความแตกต่างทางกรรมพันธุ์
 สภาวะแวดล้อม อาชีพ อาหาร หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

คนในทวีปออสเตรเลีย  จะเป็นมะเร็งผิวหนังมาก  เชื่อว่าเกี่ยวกับชั้นโอโซนในอากาศเบาบาง
คนในเมืองจีน  จะเป็นมะเร็งโพรงจมูกกันแยะ  เชื่อว่าเกี่ยวกับกรรมพันธุ์ และมลภาวะ
คนไทยจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งตับสูง  เชื่อว่าเกี่ยวกับพยาธิใบไม้ในตับ และอาหารบางชนิด

...ประเทศไทยในปี ๒๐๑๕ นี้   มีคนตายจากมะเร็งประมาณ ๖.๕ หมื่นคน  จากผู้เสียชีวิตทั้งประเทศ ๕ แสนคน  
หรือคิดเป็น ๑๔-๑๕%  เป็นผู้ชาย ๖๐%  ผู้หญิง ๔๐% ซึ่งเท่ากับว่า
 ผู้ชายมีความเสี่ยงต่อมะเร็งมากกว่าผู้หญิงประมาณ ๑.๕ เท่า

...ตัวเลขเหล่านี้ ใกล้เคียงกับผลสำรวจในประเทศจีน  ซึ่งในปี ๒๐๑๓ พบว่ามีอัตราการวินิจฉัยการป่วยด้วยมะเร็งถึง ๓,๑๕๓,๖๐๐ คน/ปี
หรือนาทีละ ๖ คน  และพบมะเร็งปอดมากที่สุดเพราะคนจีนสูบบุหรี่จัด  
ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือทั้งคนไทยและคนจีนพบมะเร็งในลำไส้เพิ่มขึ้นอย่างมาก  โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมือง

“ฉันจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่” จะเป็นคำถามที่อยู่ในใจผู้ป่วยและญาติตลอดเวลา เมื่อรู้ตัวว่าป่วยเป็นมะเร็ง  
ประสบการณ์และวุฒิภาวะของแพทย์ และบุคลากรสาธารณสุขในการสื่อสารและดูแลผู้ป่วยเหล่านี้มีความสำคัญมาก
 หมอต้องมีทักษะหลายๆอย่างในการที่จะพูดคุยกับผู้ป่วยและญาติตั้งแต่แรกวินิจฉัย  
จะพูดอย่างไรไม่ให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะขวัญหายกระเจิดกระเจิงตอนกลับไปบ้าน  บางครั้งอาจต้องบอกญาติก่อน  
บางครั้งอาจต้องบอกแค่ครึ่งเดียว (เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติค่อยๆทำใจ)  บางครั้งอาจต้องให้ความจริงเชิงสถิติ
 และที่สำคัญคือ  อย่าทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหดหู่และสิ้นหวัง...

...เริ่มมีการถกเถียงกันว่า  คำพูดที่หมอชอบพูดอยู่เสมอๆว่า “อยู่ได้ไม่เกินแค่นั้น  แค่นี้เดือน (ปี)”  เป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่
 เพราะผู้ป่วยแต่ละคนมีพยาธิสภาพของโรคไม่เหมือนกัน  มีการตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน
 และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองที่แตกต่างกันไป

...ผู้ป่วยจะอยู่ได้กี่เดือนกี่ปีก็แล้วแต่  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ คุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจของผู้ป่วยนั้นมีความสำคัญมาก
 ครอบครัวบางครอบครัวหมดเนื้อหมดตัวหรือเป็นหนี้สิน  เพราะแพทย์ชี้นำไม่ถูกต้อง
 คนป่วยบางคนตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในโรงพยาบาล  เต็มไปด้วยสายระโยงระยางและท่อต่างๆในวาระสุดท้าย
 และครอบครัวไม่มีโอกาสอยู่เคียงข้าง

...ในอเมริกา และยุโรปเริ่มมีการพัฒนาศาสตร์ที่เรียกว่า Phychological oncology
ว่าด้วยการดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วยมะเร็ง  มีคำพูดที่ว่า “ในการเกิดผลข้างเคียงด้านร่างกายจากการรักษามะเร็ง
 จะมีผลข้างเคียงด้านจิตใจควบคู่อยู่ด้วยเสมอ”  ศาสตร์ด้านนี้ให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือด้านสังคม
 การปฏิบัติสมาธิภาวนา และการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆสำหรับผู้ป่วย

...การรักษาแบบประคับประคอง (Palliative Care) เป็นอีกส่วนที่มีความจำเป็นและสำคัญสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย
  อันได้แก่  การบำบัดความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน  การให้ยาระงับประสาทเพื่อให้นอนหลับได้ การบริหารจิต
 การให้คำแนะนำแก่ญาติ  เป็นที่น่ายินดีที่ประเทศไทยเริ่มมีการตื่นตัวในเรื่องนี้มากขึ้นในช่วง ๔-๕ ปีที่ผ่านมา

โรงพยาบาลอาจดูแลผู้ป่วยได้ดีในบางภาวะเงื่อนไข  แต่การดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Care) และชุมชน
 อาจจะสำคัญพอๆกัน (หรือมากกว่า)  ไม่มีผู้ป่วยคนไหนอยากอยู่โรงพยาบาลนานๆ  ทุกวันนี้โรงพยาบาลบางแห่ง
  เริ่มพัฒนาความร่วมมือกับท้องถิ่น (เทศบาลและอบต.) ในการจัดให้มีบุคลากรเยี่ยมบ้าน  
บางแห่งมีชุดถังออกซิเจนขนาดเล็ก  ชุด Infusion set สำหรับให้ยามอร์ฟีนแก้ปวดแก่ผู้ป่วย  
หรือแม้กระทั่งเตียงนอนผู้ป่วยติดเตียงให้ครอบครัวที่มีผู้ป่วยมะเร็งไปใช้ได้

...การรักษาด้วยรูปแบบทางเลือกอื่นๆ  เช่น ยาแผนโบราณ แผนจีน การนวด การเพ่งกระแสจิต  
บางครั้งถูกมองว่าเป็นตัวสร้างปัญหา  ถูกมองว่าเป็นด้านลบจากบุคลากรสาธารณสุขแผนปัจจุบัน  
จริงๆแล้วศาสตร์เหล่านี้ในด้านที่เป็นคุณก็มี  แพทย์แผนปัจจุบันต้องใจกว้าง และใส่ใจหาความรู้เพิ่มเติมในศาสตร์เหล่านี้
 บางครั้งอาจต้องบอกข้อดี ข้อเสียให้ฟัง แล้วให้ญาติและคนไข้ตัดสินใจเอง...
ยาแผนโบราณบางตัวให้ผลที่เหลือเชื่อในผู้ป่วยมะเร็งบางราย...

ท้ายที่สุดนี้  คำวินิจฉัยว่า
“คุณเป็นมะเร็ง” ไม่ได้เป็นคำพิพากษาว่า “คุณต้องตายแน่ๆในเร็ววันนี้”
แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยว่า “คุณต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และวิถีชีวิตใหม่”  ได้แล้ว
  มะเร็งเป็นโรคที่หายได้ถ้าคุณ “กล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง....”

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 452-01
นิตยสารหมอชาวบ้าน  เล่มที่: 452
เดือน/ปี: ธันวาคม 2559
คอลัมน์: สปสช. สำนักงานหลักประกันสุขภาพ
นักเขียนรับเชิญ: นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ
บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: