-/> เตือน! ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเสี่ยงอันตราย - เชื้อดื้อยา

You are here: Khonphutorn.com - แหล่งข้อมูลของคนไทยหมวดสุขภาพสุขภาพ (ผู้ดูแล: ญิบสลิล ณ นคร, หมอกริชครับ...คมกริช... คมกริช)เตือน! ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเสี่ยงอันตราย - เชื้อดื้อยา
หน้า: [1]   ลงล่าง
 
ผู้เขียน หัวข้อ: เตือน! ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเสี่ยงอันตราย - เชื้อดื้อยา  (อ่าน 1663 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ผู้บริหารเว็บ
คะแนนน้ำใจ 65535
เหรียญรางวัล:
PJ ดีเด่นนักอ่านยอดเยี่ยมผู้ดูแลเว็บ
กระทู้: 18,135
ออฟไลน์ ออฟไลน์
"สาวหวาน กับ ความฝันไม่รู้จบ "
   
« เมื่อ: 22 ธันวาคม 2557, 05:46:24 AM »

Permalink: เตือน! ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเสี่ยงอันตราย - เชื้อดื้อยา








เตือน! ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเสี่ยงอันตราย - เชื้อดื้อยา



สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เตือนให้ผู้บริโภคอย่าซื้อยาปฏิชีวนะมาใช้เอง
 เพราะอาจได้รับอันตรายจากการใช้ยาโดยไม่จำเป็น และทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา เพราะโรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส
 แต่ยาปฏิชีวนะใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น พร้อมแนะ วิธีการเบื้องต้นในแยกแยะระหว่างอาการเจ็บคอ
ที่เกิดจากเชื้อไวรัส กับอาการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

ดร.นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
อาจส่งผลให้ประชาชนเจ็บป่วยเป็นโรคหวัดได้ง่าย โดยจะมีอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย
 และเมื่อมีอาการเหล่านี้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าจะต้องกินยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
 ประชาชนควรมีความรู้ก่อนว่าอาการหวัดเจ็บคอที่เป็นนั้นมีสาเหตุจากอะไร
 เนื่องจากส่วนใหญ่ของหวัดเจ็บคอ (ร้อยละ 80) มักเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ มีเพียงส่วนน้อย (ร้อยละ 20)
ที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และอาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หากประชาชนไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้
และกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่เป็นหวัดเจ็บคอ เขาจะได้รับยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นบ่อยถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว

วิธีการเบื้องต้นในการแยกแยะระหว่างการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย คือ หากเป็นหวัดเจ็บคอจากเชื้อไวรัส
มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ เสียงแหบ คันคอ เจ็บคอ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย อาจนานประมาณ 7-14 วัน
 อาการจะมากสุดในช่วงวันที่ 3-5 หลังจากนั้นอาการโดยรวมจะค่อย ๆ ดีขึ้น น้ำมูกจะน้อยลงและข้นขึ้น
 บางทีอาจมีสีออกเหลืองโดยเฉพาะช่วงเช้า แต่อาการไออาจอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ งานวิจัยชี้ชัดว่า
ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยให้อาการไอและหวัดหายเร็วขึ้นแต่อย่างใด การรักษาที่ดีที่สุด
 คือ การพักผ่อนและดื่มน้ำอุ่นเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานมาต่อสู้กับเชื้อไวรัส
และอาจปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการหวัด ไอ คัดจมูก หรือเจ็บคอ

ส่วนอาการเจ็บคอที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (ซึ่งพบน้อย) มักมีอาการอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อนี้
ร่วมกัน คือ (1) ไม่ไอ (2) มีไข้ (3) ต่อมทอนซิลมีจุดขาวหรือเป็นหนอง (4) ต่อมน้ำเหลือง
ใต้ขากรรไกรโตกดเจ็บ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสำรวจต่อมน้ำเหลืองของตนเองโดยการคลำบริเวณ
ใต้ขากรรไกรเพื่อดูว่าต่อมน้ำเหลืองบริเวณนี้โตหรือกดเจ็บหรือไม่ และสามารถดูต่อมทอนซิลของตนเอง
โดยการอ้าปากและส่องกระจกดูที่ต่อมทอนซิลว่ามีจุดขาวหรือเป็นหนองหรือไม่ หากมีอาการ 3 ใน 4 ข้อ
หรือมีอาการครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

รองเลขาธิการฯ อย.กล่าวย้ำว่า ก่อนกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งต้องมั่นใจว่าโรคที่เป็นมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย
ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะโดยไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ โดยสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรซ้ำทุกครั้งเพื่อความมั่นใจ
 และขอเตือนประชาชนอย่าซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง อย่าใช้ยา ปฏิชีวนะตามที่ คนอื่นแนะนำ
และอย่าแบ่งยาปฏิชีวนะของตนเองให้แก่ผู้อื่น เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่
เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิด เช่น เพนนิซิลลิน อะม็อกซิซิลลิน เตตร้าซัยคลิน อิริทโทรมัยซิน
โคทรัยม็อกซาโซล เป็นต้น และแต่ละชนิดใช้กับเชื้อแบคทีเรียต่างกัน
 และที่สำคัญ เราไม่รู้ว่าเขาแพ้ยาหรือไม่ หรือมีโรคประจำตัวอะไร

อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขอให้ร้องเรียนที่สายด่วน
 อย. โทร. 1556 หรือ E-mail: 1556@fda.moph.go.th หรือ
ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application
หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อ อย. จะได้ดำเนินการปราบปราม และดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดต่อไป


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์





บันทึกการเข้า


♪♪♪ รวมบทกลอนน้องจ๋า คลิกค่ะ ...

ขอบคุณทุกภาพจาก Internet และเพลงจากYouTube
หน้า: [1]   ขึ้นบน
 
 
กระโดดไป: