องุ่น สรรพคุณ และคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ
องุ่น เป็นพืชไม้เลื้อยในตระกูลเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายทั้งวิตามินซีและวิตามินเค
ประกอบไปด้วยฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าองุ่นมีคุณสมบัติ
ที่ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และใบขององุ่นอาจมีส่วนช่วยลดอาการอักเสบ
ช่วยสมานเนื้อเยื่อ หยุดเลือด และช่วยลดอาการท้องเสีย แต่ข้อพิสูจน์หรือหลักฐานทางการแพทย์มีมากน้อยเพียงใด
ที่จะช่วยยืนยันสรรพคุณ ประโยชน์ และความปลอดภัยของการรับประทานองุ่น
รวมถึงสารสกัดจากเมล็ดองุ่นที่มีบทบาทหรือส่วนช่วยในการรักษาโรคเหล่านี้
องุ่นกับประโยชน์ด้านสุขภาพ
การไหลเวียนเลือดไม่ดี ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีอาการขาบวมและเส้นเลือดขอด ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า
โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหรือเส้นเลือดอาจเป็นผลมาจากอนุมูลอิสระ และองุ่นเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ซึ่งอาจมีส่วนช่วยหรือเป็นประโยชน์ต่ออาการดังกล่าว จึงทำให้มีการทดลองชิ้นหนึ่งให้ผู้หญิงที่ทำงาน
โดยต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นหรือยาหลอกแบบครั้งเดียวและแบบ 14 วัน
โดยนั่งนาน 6 ชั่วโมง พบว่าการรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่น โดยมีโปรแอนโทไซยานิดิน (Proanthocyanidin)
ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการยับยั้งอาการขาบวมในผู้หญิงซึ่งแข็งแรงดีแต่ต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานอย่างมีนัยสำคัญ
บำรุงสายตา องุ่นประกอบไปด้วยสารอาหารและวิตามินต่าง ๆ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อสายตา
ซึ่งมีการทดลองเกี่ยวกับการใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นเพื่อรักษาเซลล์ปมประสาทของเรตินาหรือจอตา (Retina Ganglion Cell)
พบว่าอัตราการตายของเซลล์ประสาทลดลง เป็นผลมาจากสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเข้าไปยับยั้งการทำลายเซลล์จากอนุมูลอิสระ
แต่เนื่องจากยังเป็นเพียงการทดลองที่อยู่ในห้องทดลอง จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพขององุ่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การรักษาด้วยองุ่นที่เป็นไปได้ แต่ยังมีหลักฐานสนับสนุนไม่เพียงพอ
สมรรถภาพในการออกกำลังกาย นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายอย่างหนักจะผลิตสารประกอบ
ที่มีออกซิเจนในโมเลกุลมากเกินไป (Reactive Oxygen Species) ซึ่งอาจทำให้เซลล์ในร่างกายเสียหาย
รวมถึงระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงขึ้นแต่ยังไม่เพียงพอต่อการยับยั้บการสร้างอนุมูลอิสระ
จึงทำให้มีการวิจัยเกี่ยวกับสารสกัดจากองุ่นที่อาจช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระและสมรรถภาพ
ในการออกกำลังกายของนักกีฬาชาย โดยสุ่มให้นักกีฬาแฮนด์บอล บาสเกตบอล นักวิ่ง
และวอลเลย์บอลจำนวนทั้งสิ้น 20 คนที่อยู่ในช่วงระหว่างการแข่งขันกีฬา รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสม
ของสารสกัดจากองุ่นขนาด 400 มิลลิกรัมต่อวัน นาน 30 วัน และอีกกลุ่มรับประทานยาหลอก
โดยตรวจเลือดและปัสสาวะทั้งก่อนและหลังการทดลอง 1 เดือน พบว่าระดับสารต้านอนุมูลอิสระและสมรรถภาพ
ในการออกกำลังกายของนักกีฬาแฮนด์บอลเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากคุณสมบัติของสารสกัดจากองุ่น
และการวิจัยนี้ยังสนับสนุนให้ทำการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและกลไกการทำงานของสารสกัดจากองุ่นในนักกีฬา
โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นหนึ่งในโรคที่แพร่หลายอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้เกิดการจัดการเชิงรุกเพื่อรับมือ
ซึ่งมีการแนะนำให้รับประทานผักหรือผลไม้ รวมถึงองุ่น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดยมีงานวิจัยทางระบาดวิทยา
ชี้ให้เห็นว่าการบริโภคไวน์หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากองุ่น รวมถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของสารโพลีฟีนอล (Polyphenols)
มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ลดลง ซึ่งการทดลองได้แสดงให้เห็นว่า
สารโพลีฟีนอลในองุ่นช่วยลดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งด้วยกลไกต่าง ๆ รวมถึงการยับยั้งออกซิเดชัน
ของคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี ส่งผลดีต่อปฏิกิริยารีดอกซ์ของเซลล์หรือการควบคุมปฏิกิริยาการเกิดสารอนุมูลอิสระ
ในร่างกายให้สมดุล ปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ลดระดับความดันโลหิต ยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือด
ลดการอักเสบ และกระตุ้นการทำงานของโปรตีนเพื่อป้องกันเสื่อมสภาพของเซลล์ ซึ่งมีหลายงานวิจัย
ในมนุษย์สนับสนุนประสิทธิภาพขององุ่นที่กล่าวมาข้างต้น แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาก่อนการทดลอง
เพื่อยืนยันประสิทธิภาพและกำหนดแนวทางในการบริโภคองุ่นต่อไป อย่างไรก็ตามข้อมูลที่มีอยู่
ในปัจจุบันสนับสนุนและแนะนำว่าการรับประทานองุ่น รวมถึงผักและผลไม้ชนิดอื่น ๆ
สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจได้
คอเลสเตอรอลสูง การบริโภคองุ่นซึ่งเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์จะส่งผลต่อสารต้านอนุมูลอิสระ
ยับยั้งการทำงานของเกล็ดเลือด ลดการสร้างลิ่มเลือด ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจ
รวมถึงผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำให้มีการทดลองชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการบริโภค
น้ำองุ่นแดงต่อระดับไขมันในร่างกาย โดยให้อาสาสมัครเพศชายที่มีสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ และไม่รับประทานยารักษาโรค
อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 25-60 ปี จำนวน 26 คน บริโภคน้ำองุ่นแดงปริมาณ 150 มิลลิลิตร 2 ครั้งต่อวัน
เป็นเวลา 1 เดือน โดยวัดระดับไขมันในเลือด ได้แก่ ไขมันดี (HDL-C) โฮโมซิสเตอีน (Homocysteine)
ไลโปโปรตีน (Apolipoprotein) ชนิด AI และชนิด B ทั้งก่อนและหลังการทดลอง 1 เดือน
พบว่าการบริโภคน้ำองุ่นแดงอาจช่วยลดระดับโฮโมซิสเตอีนและเพิ่มระดับไขมันดีอย่างมีนัยสำคัญ
ผลการวิจัยในครั้งนี้อาจมีความหมายสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งต่อผู้ป่วย แต่ยังจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม
ความดันโลหิตสูง เป็นความเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ปัจจุบันมีหลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบ
ขององุ่นต่อความดันโลหิต จึงทำให้เกิดการวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสารโพลีฟีนอล
ที่พบในองุ่น จากผลการศึกษาทั้งหมด 10 ชิ้น พบว่าการรับประทานองุ่นที่อุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอลเป็นประจำทุกวัน
อาจช่วยลดระดับความดันโลหิตเมื่อหัวใจบีบตัว หรือความดันโลหิตซีสโตลิค (Systolic Blood Pressure)
อย่างมีนัยสำคัญ และลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการรับประทานยาลดความดันโลหิต
ทั้งนี้ การศึกษาในอนาคตจำเป็นต้องพัฒนาเรื่องการออกแบบการทดลองให้ดีขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อยืนยันผลการทดลองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กลุ่มอาการทางเมตาบอลิก เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบด้วยหลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ จากการศึกษาแสดงให้เห็นถึงหลักฐาน
เกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารโพลีฟีนอลซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในองุ่น
โดยเฉพาะสารสกัดจากเมล็ดองุ่น รวมถึงผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ โดยมีการรายงานถึงประโยชน์ของสารโพลีฟีนอล
ว่าอาจช่วยยับยั้งความเสี่ยงของกลุ่มอาการทางเมตาบอลิก จากผลการศึกษาพบว่าสารโพลีฟีนอลในองุ่นส่งผล
ต่อความดันโลหิต ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของตับและหัวใจอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ยังจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารพฤษเคมี สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และอื่น ๆ
เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของสารโพลีฟีนอลในองุ่นต่อไป
นอกจากนี้ ยังงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งแบ่งอาสาสมัครกลุ่มอาการทางเมตาบอลิกออกเป็น 3 กลุ่ม
และสุ่มให้รับประทานยาหลอก หรือสารสกัดจากเมล็ดองุ่นขนาด 150 มิลลิกรัม
หรือสารสกัดจากเมล็ดองุ่นขนาด 300 มิลลกรัม เป็นเวลา 4 สัปดาห์
โดยวัดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดทั้งก่อนและหลังการทดลอง
พบว่าความดันโลหิตของกลุ่มที่รับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นต่ำกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก
แต่ระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ไขมันพอกตับ เนื่องจากวิธีการรักษาโรคไขมันพอกตับยังค่อนข้างจำกัด ในขณะที่คุณสมบัติต้านสารอนุมูลอิสระของผัก
และผลไม้มีมากขึ้น ทำให้มีการวิจัยเกี่ยวกับการใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นเพื่อช่วยปรับปรุงระบบ
การทำงานของตับในผู้ป่วยไขมันพอกตับ โดยสุ่มให้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มละ 15 คน
รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นหรือวิตามินซีขนาด 1,000 มิลลิกรัมทุก 12 ชั่วโมง
เป็นเวลา 3 เดือน โดยตรวจการทำงานของตับในกลุ่มตัวอย่างก่อนการทดลอง และตรวจซ้ำในเดือนที่ 1, 2 และ 3
พบว่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่นอาจช่วยทำให้ผู้ป่วยไขมันพอกตับมีอาการดีขึ้นหากมีการติดตามผลเป็นระยะเวลานาน
การรักษาด้วยองุ่นที่อาจไม่ได้ผล
คลื่นไส้และอาเจียนจากเคมีบำบัด หลายคนเชื่อว่าผักหรือผลไม้ที่อุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์อาจ
มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการคลื่นไส้และอาเจียนจากเคมีบำบัด ซึ่งเป็นการลดต้นทุนและประหยัดค่าใช้จ่ายอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ได้มีการทดลองชิ้นหนึ่งให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่รักษาด้วยยาเคมีบำบัดแบบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ปานกลาง
และแบบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้มากจำนวนทั้งสิ้น 77 คน บริโภคน้ำองุ่นสายพันธุ์คอนคอร์ดในปริมาณ 4 ออนซ์
หรือยาหลอก ก่อนมื้ออาหารเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลังจากรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในแต่ละรอบ
โดยบันทึกความถี่และระยะเวลาที่เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และขย้อนเป็นประจำทุกวัน
พบว่าความถี่และระยะเวลาที่เกิดอาการข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดอยู่ในระดับต่ำกว่ากลุ่มตัวอย่าง
แต่ไม่พบว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นประสิทธิภาพของฟลาโวนอยด์ในน้ำองุ่นคอนคอร์ดยังจำเป็น
ต้องศึกษาเพิ่มเติมในอนาคตด้วยกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการทดลอง
ความปลอดภัยในการรับประทานองุ่น
การรับประทานองุ่นเป็นอาหารในปริมาณที่เหมาะสมค่อนข้างมีความปลอดภัย หรือรับประทานในรูปแบบยา
รักษาโรคก็อาจจะปลอดภัยเช่นกัน แต่หากรับประทานองุ่นรวมถึงลูกเกดในปริมาณที่มากเกินไป
อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ในบางรายอาจมีอาการแพ้องุ่นหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากองุ่นได้
ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ระคายเคืองกระเพาะอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อาหารไม่ย่อย
ไอ ปากแห้ง เจ็บคอ ปวดศีรษะ เกิดการติดเชื้อ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ เป็นต้น
ข้อควรระวังในการรับประทานองุ่น โดยเฉพาะบุคคลในกลุ่มดังต่อไปนี้
ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการรับประทานองุ่นในรูปแบบอาหารเสริม
ยารักษาโรค หรือในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด ดังนั้นควรรับประทานองุ่น
ในปริมาณที่เหมาะสมหรืองดการรับประทานองุ่นในระหว่างตั้งครรภ์
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด การรับประทานองุ่นอาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้าลง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลฟกช้ำ
หรือเลือดออกได้ง่ายในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือดหรือภาวะเลือดออกผิดปกติ อย่างไรก็ตาม
ยังไม่มีการรายงานปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นในมนุษย์
ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานองุ่นก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
เพราะอาจส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้าลง หรือทำให้มีเลือดออกมากในระหว่างหรือหลังการผ่าตัด
ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดเป็นประจำ เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์
หากรับประทานองุ่นร่วมกับการใช้ยาต่อไปนี้
ยาที่ถูกเปลี่ยนแปลงโดยเอนไซม์ที่ตับ (P450) เนื่องจากการบริโภคน้ำองุ่นอาจเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
หรือการทำลายยาที่ตับ และส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของยาลดลง
ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานองุ่นร่วมกับยาดังต่อไปนี้
...โคลซาปีน
...ไซโคลเบนซาพรีน
...ฟลูวอกซามีน
...ฮาโลเพอริดอล
...อิมิพรามีน
...โอแลนซาปีน
...เพนตาโซซีน
...โพรพราโนลอล
...ทีโอฟิลลีน
...ซอลมิทริปแทน
ยาต้านการแข็งตัวของเลือดวาร์ฟาริน เนื่องจากการรับประทานองุ่นอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
และหากรับประทานร่วมกับวาร์ฟารินอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดแผลฟกช้ำหรือเลือดออกได้ง่าย
อาจต้องปรับขนาดยาเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว และควรตรวจเลือดเป็นประจำ
ขอบคุณที่มา พบแพทย์